ชัยชนะทรัมป์ฉุดริงกิต! สกุลเงินมาเลเซียเสี่ยงร่วง หลังตลาดกังวลภาษีสหรัฐ
ชัยชนะในการเลือกตั้งของ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ และนโยบายภาษีที่อาจจะเกิดขึ้น เสี่ยงกดดันมูลค่าเงิน ‘ริงกิต’ ของมาเลเซียให้ร่วง ซึ่งเดิมทำผลงานได้ดีในเอเชีย โดยสัดส่วนการค้าคิดเป็น 130% ของจีดีพีมาเลเซีย
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “สกุลเงินริงกิต” ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นสกุลเงินในเอเชียเกิดใหม่เพียงสกุลเดียวที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ในปีนี้ อาจมีแนวโน้ม “ชะลอตัวลง” เนื่องจากความเสี่ยงจากชัยชนะเลือกตั้งของโดนัลด์ ทรัมป์
เมื่อสกุลดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ประกอบกับความกังวลการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐ จึงส่งผลให้สกุลเงินริงกิตของมาเลเซีย ร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมในสัปดาห์นี้ โดยสหรัฐเป็นตลาดส่งออกใหญ่อันดับสามของมาเลเซีย คิดเป็นสัดส่วน 11% ทำให้สกุลเงินริงกิตมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อมาตรการภาษีสหรัฐใหม่อาจเตรียมบังคับใช้
“จนถึงสิ้นปี ความกังวลเกี่ยวกับการบังคับใช้ภาษีและผลกระทบต่อเงินเฟ้อ อาจส่งผลให้สกุลเงินในเอเชีย รวมถึงสกุลริงกิตอ่อนค่าลง” คริสโตเฟอร์ หว่อง นักกลยุทธ์ด้านสกุลเงินจาก Oversea-Chinese Banking ในสิงคโปร์กล่าว เนื่องจากสกุลเงินเหล่านี้มีความอ่อนไหวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงระดับโลก
ชัยชนะในการเลือกตั้งของทรัมป์ได้สร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก และทำให้เกิดความกังวลว่า ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งนี้อาจเรียกเก็บภาษีสูงถึง 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และ 20% สำหรับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก สิ่งนี้ยิ่งเพิ่มความท้าทายให้กับสกุลเงินริงกิต
ทั้งนี้ สกุลเงินริงกิตปิดตลาดโดยแทบไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับ 4.4043 ต่อดอลลาร์ในวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.)
ในช่วงเก้าเดือนแรกของปี “ริงกิต” เป็นสกุลเงินที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในเอเชีย เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงต่อผลกระทบจากภาษีการค้า
ข้อมูลจากธนาคารโลกแสดงให้เห็นว่า การค้าคิดเป็น 130% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของมาเลเซีย ทำให้มาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่พึ่งพาการค้ามากที่สุดในภูมิภาค
แม้ว่าการประกาศใช้ภาษีในสหรัฐ อาจต้องใช้เวลานาน ความไม่แน่นอนนี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดได้
“การขู่ของทรัมป์เรื่องภาษีถือเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดที่ตลาดกังวล แต่เรายังไม่ทราบว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่านโยบายเหล่านั้นจะถูกบังคับใช้ หรือหากมันจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่” หว่องจาก Oversea-Chinese Banking กล่าว
อ้างอิง: bloomberg