บริษัทสหรัฐหวั่นภาษีทรัมป์ วิ่งหาผู้มีอิทธิพลทางการเมือง

บริษัทสหรัฐหวั่นภาษีทรัมป์ วิ่งหาผู้มีอิทธิพลทางการเมือง

บริษัทต่างๆในสหรัฐ วิ่งหาล็อบบี้ยิสต์ขอให้ช่วยเจรจากับฝ่ายการเมืองของว่าที่รัฐบาลใหม่ เพื่อขอยกเว้นภาษีนำเข้า

 เว็บไซต์ ซีเอ็นบีซี รายงานว่าในช่วงไม่กี่วันนับตั้งแต่อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนใหม่โทรศัพท์ของนิโคล บิเวนส์ คอลลินสันก็ดังไม่หยุด

คอลลินสัน ผู้รับผิดชอบส่วนฝ่ายการค้าระหว่างประเทศและความสัมพันธ์กับรัฐบาลของบริษัทล็อบบี้ยิสต์ Sandler, Travis & Rosenberg กล่าวว่าเธอได้รับสายจากบริษัทในสหรัฐที่วิตกกังวล “หลายสิบสาย” ที่ต้องการปกป้องตัวเอง จากแผนกำแพงภาษีสูงของทรัมป์โดยการค้นหาช่องโหว่และข้อยกเว้น

“แน่นอน ทุกคนโทรมาหาเรา ไม่หยุดเลย” คอลลินสันกล่าวกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซี 

ตลอดช่วงการหาเสียงปี 2024 ทรัมป์ยกประเด็นภาษีศุลกากรเป็นส่วนสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจของเขา โดยจะกำหนดอัตราภาษี 20% สำหรับการนำเข้าทั้งหมดจากทุกประเทศ และอัตราภาษีที่เข้มงวดเป็นพิเศษคือ 60% สำหรับสินค้าจีน แนวทางการค้าที่กีดกันทางการค้ารุนแรงดังกล่าว ทำให้บรรดานักเศรษฐศาสตร์ นักวิเคราะห์วอลล์สตรีทและบรรดาผู้นำในอุตสาหกรรมรู้สึกไม่สบายใจ โดยพวกเขาได้ เตือนว่าการจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบครอบคลุมทุกด้านอาจทำให้การผลิต และในทางกลับกันราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในสหรัฐมีราคาแพงขึ้น ซึ่งตรงกับช่วงที่สินค้ากำลังฟื้นตัวจากภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่เกิดโรคระบาด

 “ภัยคุกคามจากการจัดเก็บภาษีศุลกากรทำให้ผู้ค้าปลีกและธุรกิจอื่นๆ ในสหรัฐตื่นตระหนก” เดวิด เฟรนช์ รองประธาน อาวุโสฝ่ายความสัมพันธ์กับรัฐบาลของสหพันธ์ค้าปลีกแห่ง ชาติสหรัฐอเมริกา (National Retail Federation) กล่าวกับซีเอ็นบีซี

“สมาชิกของเราได้ร่วมกันจัดทำแผนฉุกเฉินมาตั้งแต่ ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่ง” รอน โซรินี ผู้บริหารบริษัทล็อบบี้ยิสต์ Sorini, Samet & Associates กล่าว โดยระบุว่าเขาต้องรับสายอย่างน้อยวันละ 2-3 สายเพื่อรับฟังข้อกังวลของบริษัทต่างๆ เกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีศุลกากรที่เสนอโดยเฉพาะในจีน

“บริษัทต่างๆ สงสัยว่าพวกเขาควรไปที่ไหน และพวกเขาจะขน ส่วนประกอบต่างๆออกจากจีน ได้อย่างไร พวกเขาจะย้ายห่วงโซ่อุปทานทั้งหมดออกไปได้อย่างไร” โซรินีกล่าว

 เมื่อทรัมป์ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรจีนชุดแรกในปี 2018 การได้รับการยกเว้นภาษีก็กลายเป็นกุญแจสำคัญใน องค์กรธุรกิจในอเมริกา ซึ่งเป็นวิธีปกป้องห่วงโซ่อุปทานของบริษัทในจีนแทนที่จะต้องจ่ายเงินจำนวนมากในการย้ายโรงงาน และเพื่อให้ได้มาซึ่งกุญแจสำคัญนั้นจำเป็นต้องรู้จักคนที่ เหมาะสม

  •  ทนายความและล็อบบี้ยิสต์ได้ประโยชน์

 การศึกษาวิจัยในปี 2021 พบว่าใบขอยกเว้นภาษีศุลกากรในวาระแรกของทรัมป์มีแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติมากกว่า เมื่อมาจากบริษัทล็อบบี้ที่มีการบริจาคเงินทางการเมืองให้กับพรรครีพับลิกัน

ขณะนี้ ทรัมป์เตรียมที่จะยึดทำเนียบขาวคืนมาภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ การปรับขึ้นภาษีศุลกากรจึงกลายเป็นความจริงที่มีแนวโน้มมากขึ้น ในบริษัทต่างๆ ของอเมริกาแข่งขันกันเพื่อค้นหาผู้มีอิทธิพลที่เหมาะสมเพื่อช่วยให้บริษัทต่างๆ ได้พบปะกับคนที่เหมาะสม เพื่อให้พวกเขาได้เปรียบในการรักษาช่อง โหว่ด้านภาษีศุลกากร

“บริษัทต่างๆ เตรียมพร้อมแล้ว” เวลโก โฟทัก ศาสตราจารย์ ด้านการเงินของมหาวิทยาลัยแห่งรัฐนิวยอร์คที่เมืองบัฟฟาโล (SUNY Buffalo) หนึ่งในผู้เขียนผลการศึกษาในปี 2021 กล่าวกับซีเอ็นบีซี “ผู้ชนะที่แท้จริงของกระบวนการนี้จะเป็น ทนายความและล็อบบี้ยิสต์”

ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าภาษีศุลกากรจะมีลักษณะอย่างไรในรัฐบาลทรัมป์ชุดต่อไป และจะมีการยกเว้นหรือไม่ “จนกว่าจะมีความชัดเจนดังกล่าว ธุรกิจต่างๆ จะต้องวางแผนสำหรับสถานการณ์ต่างๆ” ทิฟฟานี สมิธ รองประธานฝ่าย นโยบายการค้าโลกของสภาการค้าต่างประเทศแห่งชาติ (National Foreign Trade Council) กล่าวกับซีเอ็นบีซี

  •  ทีมทรัมป์ยืนยันทำตามหาเสียง

 แต่แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกของทีมงานเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ ย้ำคำมั่นสัญญาในการหาเสียงของประธานาธิบดีคนใหม่ “ชาวอเมริกันเลือกประธานาธิบดีทรัมป์อีกครั้งด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น ทำให้ทรัมป์มีอำนาจในการทำตามสัญญาที่ให้ ไว้ในช่วงหาเสียง เขาจะทำตามสัญญานั้น” ลีวิตต์กล่าวใน แถลงการณ์ตอบคำถามของ CNBC

ในระหว่างนี้ บริษัทต่างๆ พยายามสร้างแนวป้องกันต่อแนวทางการค้าที่ก้าวร้าวมากขึ้นของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการเก็บสต็อกสินค้าในระยะสั้น เตรียมขึ้นราคาเพื่อให้สามารถส่งต่อภาษีนำเข้าไปยังลูกค้า และพยายามย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

  •  คาดบริษัทขนาดเล็กได้รับผลกระทบหนัก

ในวันพฤหัสบดี บริษัทสตีฟ แมดเดน ซึ่งทำธุรกิจขายรองเท้า กระเป๋า และนาฬิกา ยืนยัน ว่าจะลดการนำเข้าสินค้าจากจีน ลงร้อยละ 45 ภายในปีหน้าเพื่อรองรับแผนภาษีของทรัมป์ อย่างไรก็ตาม การย้ายออกจากจีนถือเป็นภารกิจสำคัญ สำหรับบริษัทในสหรัฐหลายแห่ง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่อาจไม่มีอำนาจซื้อมากนักหรือไม่มีศักยภาพในการย้ายการผลิตได้ง่ายนัก

 “สิ่งที่ฉันอยากจะขอร้องก็คือ ให้ทุกคนหันมาพิจารณาผลกระทบที่มีต่อธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ต้องมีทางใดทางหนึ่งที่จะช่วยเหลือบริษัทประเภทนี้ได้” โซรินีกล่าวกับ ซีเอ็นบีซี “เพราะพวกเขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ด้วยตัวเองจริงๆ”