ไม่กลัวดอยหุ้นจีน! ‘ไมเคิล เบอร์รี’ อัดซื้อหุ้นเพิ่ม แม้นักลงทุนส่วนใหญ่กังวล
“ไมเคิล เบอร์รี” นักลงทุนชื่อดังผู้เคยทำนายวิกฤติซับไพรม์ถูกต้อง เดินหมากสวนกระแสตลาด ด้วยการเพิ่มพอร์ตลงทุนในหุ้นจีนอย่างหนัก ทั้งที่เศรษฐกิจจีนกำลังเผชิญความท้าทาย และนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงกังวล
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า “ไมเคิล เบอร์รี” นักลงทุนชื่อดังผู้เคยทำนายวิกฤติซับไพรม์สหรัฐได้อย่างถูกต้องจนได้กำไรมหาศาล ได้ “เพิ่มสัดส่วน” การลงทุนในหุ้นจีน โดยเฉพาะบริษัทอีคอมเมิร์ซอาลีบาบาในช่วงไตรมาสที่สาม ท่ามกลางนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีนหลายชุด อย่างไรก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดที่ผันผวน เบอร์รีได้ซื้อออปชันที่ประกันความเสี่ยงราคาหุ้นร่วงควบคู่ไปด้วย
บริษัท “Scion Asset Management” ซึ่งเป็นบริษัทการลงทุนของเบอร์รี ได้เพิ่มการถือครองหุ้นอาลีบาบาเกือบ 30% เป็น 200,000 หุ้นในช่วงไตรมาสนี้ ในขณะเดียวกัน Scion ยังได้ซื้อ Put Option ซึ่งมีมูลค่าราคาหน้าตั๋วคิดเป็น 84% ของการถือครองหุ้นอาลีบาบา โดยออปชันนี้จะช่วยให้ Scion สามารถขายหุ้นเพื่อรับกำไรหรือจำกัดความเสียหายได้ หากราคาหุ้นอาลีบาบาร่วง
บริษัทของเบอร์รีใช้กลยุทธ์เดียวกันกับการลงทุนในหุ้นจีนอีกสองบริษัท ได้แก่ Baidu บริษัทเสิร์ชเอนจินจีน และบริษัทอีคอมเมิร์ซ JD.com ซึ่งบ่งบอกถึงความระมัดระวังของเขาที่มีต่อการลงทุนในจีน
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลปักกิ่งเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยคำมั่นสัญญาสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบปัญหา แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่คาดคิดนี้ได้จุดชนวนหุ้นจีนให้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ผู้สังเกตการณ์ตลาดบางรายยังคงระมัดระวังแนวโน้มระยะยาวของภาคส่วนนี้
สำหรับ JD.com เผยว่า บริษัท Scion เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นเป็นสองเท่าในช่วงไตรมาสที่สาม ส่วน Baidu บริษัท Scion เพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นขึ้นสองในสาม แต่ก็ได้ซื้อการป้องกันความเสี่ยงไว้ด้วยเช่นกัน
ณ สิ้นเดือนกันยายน หุ้นจีนทั้งสามบริษัท รวมถึงอาลีบาบา มีมูลค่า 54 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 65% ของการถือครองหุ้นทั้งหมดของเบอร์รี
เบอร์รีเป็นหนึ่งในไม่กี่นักลงทุนเฮดจ์ฟันด์รายใหญ่ที่มีมุมมองบวกต่อหุ้นจีน ร่วมกับเดวิด เทปเปอร์ จาก Appaloosa Management แม้กระทั่งก่อนที่จีนจะเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญในเดือนกันยายน ในไตรมาสแรก เขาได้เพิ่มการถือครองหุ้นจีน และเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้นอาลีบาบาเป็นมากกว่าสองเท่า จากนั้นได้เพิ่มสัดส่วนการถือครองอีกครั้งในไตรมาสที่สอง ทำให้เป็นผู้ถือครองหุ้นสำคัญของบริษัท ณ วันที่ 30 มิถุนายน
ตั้งแต่นั้นมา ตลาดหุ้นจีนก็ได้ปรับตัวลดลง โดยทั้ง Alibaba, JD.com และ Baidu ต่างสูญเสียมูลค่าหุ้นไปมากกว่า 20% นับตั้งแต่ราคาแตะจุดสูงสุดในช่วงต้นเดือนตุลาคม ลดลงกลับสู่ระดับราคาในช่วงปลายเดือนกันยายน ก่อนที่ทางรัฐบาลปักกิ่งจะประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ กลุ่มนักวางกลยุทธ์ และผู้จัดการกองทุนวอลล์สตรีทยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับแนวโน้มระยะยาวของจีน เนื่องจากการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และแนวโน้มการบริโภคที่อ่อนแอลง
อ้างอิง: bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์