‘นิสสัน’ วิกฤติซ้ำรอยอดีต เงินสดติดลบ กำไรดิ่ง 94% เพราะบริษัทไม่มองการณ์ไกล
‘นิสสัน’ วิกฤติซ้ำรอยอดีต ยอดขายไม่ดี เงินสด ‘ติดลบ’ กำไรดิ่ง 94% เพราะบริษัทไม่ปรับตัว ผู้บริหารไม่มองการณ์ไกล ส่วนอนาคตยังไม่แน่นอน จนเสี่ยง 'ขาดทุน' หลายแสนล้านเยน
สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย รายงานความเคลื่อนไหวของ “นิสสัน” บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติอย่างน่าเป็นห่วง โดยเงินสดสำรองในธุรกิจยานยนต์ลดลงอย่างรวดเร็วถึง 30% ภายในเวลาเพียง 6 เดือน สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ซบเซาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดใหญ่ เช่น สหรัฐ และจีน ทำให้กระแสเงินสดอิสระของบริษัทติดลบ
มาโกโตะ อูชิดะ ประธานบริษัทนิสสัน ได้ออกมาเปิดเผยถึงความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าบริษัทไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที และรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ในครั้งนี้
สถานการณ์ของนิสสันกำลังย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดยผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณล่าสุดนั้นน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง กำไรสุทธิลดลงถึง 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เหลือเพียง 19,200 ล้านเยน หรือประมาณ 4.2 พันล้านดอลลาร์
กระแสเงินสด ‘ติดลบ’
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ โดยในช่วงเดือนเมษายน ถึงกันยายน ที่ผ่านมา กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของธุรกิจยานยนต์ของนิสสันติดลบถึง 234 พันล้านเยน หรือราว 5.1 หมื่นล้านบาท สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการของตลาดที่ลดลง
นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากการลงทุนด้านทุนของนิสสันในช่วงเวลาดังกล่าวก็ติดลบถึง 214,300 ล้านเยน หรือราว 4.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งหมายความว่าบริษัทต้องใช้เงินจำนวนมากไปกับการลงทุนต่างๆ เช่น การสร้างโรงงานใหม่ การพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการ
เมื่อรวมกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการลงทุนแล้ว พบว่ากระแสเงินสดอิสระของนิสสันในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณนี้ติดลบถึง 448,300 ล้านเยน หรือราว 9.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยังมีกระแสเงินสดอิสระเป็นบวกถึง 193,900 ล้านเยน หรือราว 4.3 หมื่นล้านบาท
การขาดดุลกระแสเงินสดของนิสสันในช่วงครึ่งปีแรกของปีงบประมาณล่าสุดนั้นรุนแรงใกล้เคียงกับช่วงวิกฤติโควิด-19 โดยตัวเลขขาดดุลอยู่ที่ประมาณ 504,600 ล้านเยน ซึ่งใกล้เคียงกับตัวเลขที่บันทึกไว้ในปี 2020
ความเสี่ยงการเงินไม่ค่อยน่ากังวล
แม้ว่าเงินสดสำรองของนิสสันจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงครึ่งปีแรก แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูง โดยมีเงินสด และรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านล้านเยน ณ สิ้นเดือนกันยายน แม้จะลดลงจากต้นปีถึง 575.9 พันล้านเยนก็ตาม
ทากาโอะ มัตสึซากะ หัวหน้านักวิเคราะห์ของ Daiwa Securities ได้ให้ความเห็นว่า ปัจจุบันนิสสันยังคงมีความเสี่ยงด้านการจัดหาเงินทุนค่อนข้างน้อย เนื่องจากบริษัทยังมีเงินสดสำรองอยู่ในปริมาณมากเพียงพอที่จะรองรับการดำเนินงานในระยะเวลาหนึ่ง
นิสสันแบก ‘หนี้-ดอกเบี้ย’ สูงขึ้น
S&P Global หน่วยงานจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำ ได้ออกมาเตือนว่า หากนิสสันไม่สามารถรักษาระดับรายได้ให้คงที่ ความกดดันต่อความน่าเชื่อถือด้านเครดิตของบริษัทจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ขณะนี้ S&P ให้คะแนนตราสารหนี้ระยะยาวของนิสสันอยู่ที่ BB+ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าระดับลงทุน
สถานการณ์ที่น่ากังวลยิ่งขึ้นคือ การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของนิสสันจากหน่วยงานจัดอันดับอื่นๆ ก็ยังอยู่ในระดับที่น่ากังวลเช่นกัน โดยข้อมูลการจัดอันดับ และข้อมูลการลงทุนของประเทศญี่ปุ่นจัดให้นิสสันอยู่ที่ A ขณะที่ Moody's จัดให้อยู่ที่ Baa3 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับระดับลงทุน
ปัญหาที่ตามมาคือ ภายในปี 2026 พันธบัตรมูลค่าราว 570 พันล้านเยนจะครบกำหนดชำระคืน ซึ่งหมายความว่านิสสันจะต้องหาเงินจำนวนมหาศาลมาชำระหนี้ และอาจต้องออกพันธบัตรชุดใหม่เพื่อรีไฟแนนซ์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันมีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ที่ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4% กว่าๆ นอกจากนี้ เรตติ้งเครดิตของนิสสันยังถูกปรับลดลง ทำให้บริษัทต้องจ่ายเบี้ยประกันความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ (credit default swap) สูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมาก
อนาคตธุรกิจยังไม่แน่นอน
นิสสันกำลังเผชิญความท้าทายทางการเงินในตลาดสหรัฐ โดยบริษัทจำเป็นต้องเร่งพัฒนา และเปิดตัวรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ทำให้ยากที่จะลดการลงทุนด้านทุน อีกทั้งยังต้องการเงินสดสำหรับจ่ายค่าชดเชยให้พนักงานที่ถูกเลิกจ้าง ส่งผลให้กระแสเงินสดอิสระในช่วงเดือนตุลาคม 2019 ถึงมีนาคม 2020 ซึ่งเป็นช่วงการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งล่าสุด ติดลบถึง 226,100 ล้านเยน
นอกจากนี้ นโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังสร้างความไม่แน่นอนให้กับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ เนื่องจาก นิสสันส่งออกรถยนต์จำนวนมากไปยังสหรัฐจากโรงงานในเม็กซิโก และญี่ปุ่น หากมีการขึ้นภาษีนำเข้าตามที่ประกาศไว้ คาดว่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัทในตลาดสหรัฐอเมริกา
นิสสันยังคงมีความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับผลประกอบการในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของกำไรสุทธิสำหรับปีงบประมาณที่สิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2568 สาเหตุหลักมาจากความยากลำบากในการประเมินค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการปิดโรงงาน และการเลิกจ้างพนักงาน
โคจิ เอนโด หัวหน้าฝ่ายวิจัยองค์กรของ SBI Securities ได้ออกมาแสดงความเห็นว่า มีโอกาสสูงที่นิสสันจะรายงานการขาดทุนสุทธิหลายแสนล้านเยน ซึ่งเป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการปรับโครงสร้าง เช่น ค่าใช้จ่ายในการด้อยค่าสินทรัพย์จากโรงงานที่ปิดตัวลง และค่าชดเชยพนักงานที่ถูกเลิกจ้าง
อย่างไรก็ดี เพื่อรับมือกับวิกฤติครั้งนี้ นิสสันได้ประกาศแผนปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ซึ่งรวมถึงการเลิกจ้างพนักงานทั่วโลกจำนวน 9,000 คน คิดเป็นประมาณ 7% ของจำนวนพนักงานทั้งหมด และลดกำลังการผลิตลง 20% หรือประมาณ 1 ล้านหน่วย นอกจากนี้ บริษัทยังตัดสินใจที่จะไม่จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลอีกด้วย
นิสสันเผชิญวิกฤติซ้ำรอย
บริษัทนิสสันกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาเรื้อรังที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ทั้งในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ก่อนที่คาร์ลอส โกส์น เข้ามาบริหาร และในช่วงวิกฤตการณ์ทางการเงินโลก
โคจิ เอนโด ได้ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ปัจจุบันของนิสสันนั้นคล้ายคลึงกับอดีตเป็นอย่างมาก ยอดขายยังคงไม่ดีเมื่อเทียบกับขนาดของบริษัท มีการใช้งบประมาณจำนวนมากในการอุดหนุน และยังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 20 ปี นับตั้งแต่ที่นิสสันเคยประสบปัญหาครั้งใหญ่ และมีการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งสำคัญ
เซจิ ซูกิอุระ เจ้าหน้าที่บริหารของห้องปฏิบัติการข่าวกรองโตไกโตเกียว ได้วิเคราะห์เพิ่มเติมว่า ปัญหาที่นิสสันกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบันนั้นเกิดจากความผิดพลาดในการบริหารงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดวิสัยทัศน์ในการมองการณ์ไกล ซึ่งทำให้บริษัทไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที
อ้างอิง Nikkei
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์