สหรัฐตั้งข้อหา ‘อดานี’ มหาเศรษฐีอินเดีย ติดสินบนจนท.รัฐกว่า 8,000 ล้าน
‘โกตัม อดานี’ มหาเศรษฐีอินเดียเผชิญวิกฤติอีกครั้ง หลังอัยการสหรัฐยื่นฟ้องข้อหาคอร์รัปชันมูลค่ากว่า 250 ล้านดอลลาร์ ในการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐอินเดียเพื่อฮุบโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ข้อกล่าวหานี้อาจส่งผลให้ธุรกิจพันล้านของอดานีสั่นคลอน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า อัยการสหรัฐตั้งข้อหา “โกตัม อดานี” มหาเศรษฐีอันดับต้นๆของอินเดียว่า ได้ติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐอินเดียกว่า 250 ล้านดอลลาร์ หรือราว 8,600 ล้านบาท เพื่อให้ชนะสัญญาโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งอาจทำให้กลุ่มบริษัทของมหาเศรษฐีอินเดียคนนี้ตกอยู่ในความยุ่งเหยิงอีกครั้ง หลังจากเพิ่งฟื้นตัวจากข้อกล่าวหาทุจริตก่อนหน้านี้
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (20 พ.ย.) อัยการสหรัฐกล่าวหาว่า อาดานี ซึ่งเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก และจำเลยคนอื่นๆ ได้สัญญาว่าจะจ่ายสินบนมากกว่า 250 ล้านดอลลาร์ ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย เพื่อชนะสัญญาโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ และปกปิดแผนการดังกล่าว โดยในคำฟ้องนี้ยังกล่าวหา เซการ์ อาร์. อาดานี หลานชายของโกตัม อดานี และวนีท เอส. เจน ผู้บริหารของบริษัทพลังงานหมุนเวียนของอินเดียซึ่งได้ฝ่าฝืนกฎหมายของรัฐบาลกลาง
“จำเลยได้วางแผนการทุจริตที่ซับซ้อน เพื่อติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย เพื่อให้ได้สัญญามูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์” เบรียน พีซ อัยการสหรัฐสำหรับเขตตะวันออกของนิวยอร์ก ซึ่งเป็นผู้ยื่นฟ้องคดีนี้กล่าวในแถลงการณ์
ทั้งนี้ กฎหมายของสหรัฐอนุญาตให้อัยการรัฐบาลกลางดำเนินคดีทุจริตคอร์รัปชันต่างประเทศ หากเกี่ยวข้องกับนักลงทุนหรือตลาดของอเมริกา
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้รับการตอบกลับจากคำขอแสดงความคิดเห็นต่อตัวแทนของสำนักงาน Adani Group ในสหรัฐ ทนายความของ เซการ์ อาร์. อาดานี และวนีท เอส. เจน ยังไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอแสดงความคิดเห็นทันที อีกทั้งยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องหาใด ๆ
สำหรับการดำเนินคดี อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี ซึ่งหมายความว่า กระทรวงยุติธรรมของรัฐบาลทรัมป์ที่จะเข้ามาใหม่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยพีซ อัยการสหรัฐแห่งเขตบรูคลิน นิวยอร์ก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งในช่วงรัฐบาลไบเดน เป็นที่คาดว่าจะลาออกและถูกแทนที่ด้วยผู้ที่โดนัลด์ ทรัมป์เลือกแทน
ทั้งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ทำเนียบขาว และตัวแทนของทีมเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ไม่ได้ตอบสนองต่อคำขอทางอีเมลของสำนักข่าวบลูมเบิร์กเพื่อขอความคิดเห็น
อ้างอิง: bloomberg