เงินสำรองธนาคารสหรัฐร่วงต่ำสุดในรอบ 3 ปี เหลือไม่ถึง 3 ล้านล้านดอลล์

เงินสำรองธนาคารสหรัฐร่วงต่ำสุดในรอบ 3 ปี เหลือไม่ถึง 3 ล้านล้านดอลล์

เงินสำรองในระบบธนาคารสหรัฐทรุดหนักสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง ลดลง 3.26 แสนล้านดอลลาร์ในสัปดาห์เดียว เหลือ 2.89 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่เฟดยังคงเดินหน้านโยบายลดขนาดงบดุล ท่ามกลางความกังวลว่าเงินสำรองอาจลดลงมากจนกระทบเสถียรภาพตลาดการเงิน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (3 ม.ค.) ว่า เงินสำรองในระบบธนาคารของสหรัฐลดลงต่ำกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2563 โดยเงินสำรองดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้เพื่อพิจารณาลดขนาดงบดุลในอนาคต 

คณะกรรมการนโยบายทางการเงินของเฟด เปิดเผยข้อมูลเมื่อวานนี้ ว่า เงินสำรองธนาคารลดลงประมาณ 3.26 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงวันที่ 23 ธ.ค. 2567 – 1 ธ.ค. 2568 มาอยู่ที่ระดับ 2.89 ล้านล้านดอลลาร์ นับเป็นการลดลงรายสัปดาห์ที่มากที่สุดในรอบกว่าสองปีครึ่ง

เงินสำรองธนาคารสหรัฐร่วงต่ำสุดในรอบ 3 ปี เหลือไม่ถึง 3 ล้านล้านดอลล์

รายงานระบุเพิ่มเติมว่า การลดลงของเงินสำรองในช่วงสิ้นปีเป็นผลมาจากข้อบังคับของเฟดในการจำกัดกิจการของธนาคารพาณิชย์ที่ต้องใช้งบดุลจำนวนมากเช่น ธุรกรรมซื้อคืน (repo) เพื่อรักษาสถานะทางบัญชีตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ

ยอดคงเหลือใน RRP เพิ่มขึ้น 3.75 แสนล้านดอลลาร์ระหว่างวันที่ 20-31 ธ.ค. ก่อนจะลดลง 2.34 แสนล้านดอลลาร์เมื่อวันพฤหัสบดี

 

ทั้งหมดส่งผลต่อเนื่องให้ “กระแสเงินสด” ในคลังลดน้อยลงในชั่วข้ามคืนเพราะเครื่องมือในการควบคุมสภาพคล่องเช่น “Overnight Reverse Repo Facility” หรือกิจกรรมทางการเงินที่สถาบันการเงินนำหลักทรัพย์ไปจำนำกับธนาคารกลางโดยแลกกับเงินสด ซึ่งช่วยในการบริหารจัดการปริมาณเงินและมีอิทธิพลต่ออัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ดังนั้นผลกระทบต่อมาคือเงินสดในคลังของเฟดจึงปรับตัวน้อยลงจากกิจกรรมทางการเงินดังกล่าว

หรืออธิบายแบบไม่ซับซ้อนคือ

  1. เหมือนกับการที่ธนาคารกลางยืมหลักทรัพย์จากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ
  2. แล้วให้เงินสดไปแทน (เหมือนจำนำ)
  3. แต่เป็นการทำธุรกรรมระยะสั้นมาก (ข้ามคืน)
  4. วิธีนี้ช่วยให้ธนาคารกลางควบคุมปริมาณเงินในระบบได้
  5. และมีผลต่อการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินระยะสั้น

 

ในขณะเดียวกัน เฟดก็ได้ดึงเงินสดส่วนเกินออกจากระบบการเงินผ่านการทำ QT ในขณะที่สถาบันการเงินในสหรัฐยังคงชำระคืนเงินกู้จากโครงการ Bank Term Funding Program ซึ่งเป็นโปรแกรมช่วยเหลือทางการเงินของเฟดในช่วงวิกฤตแบงก์รันช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

ในขณะที่ผู้กำหนดนโยบายสหรัฐยังคงดำเนินการ QT ต่อไป นักวิเคราะห์จาก วอลล์สตรีทเริ่มความสนใจกับระดับเงินสำรองต่ำสุดที่เหมาะสม ซึ่งบางท่านประเมินว่าอยู่ระหว่าง 3 ถึง 3.25 ล้านล้านดอลลาร์ รวมถึงเงินสำรองส่วนเผื่อ (บัฟเฟอร์) ส่วนผู้กำหนดนโยบายระบุในการประชุมเดือนที่แล้วว่าจะยังคงลดขนาดงบดุลต่อไป

นอกจากนี้เฟดยังปรับอัตราดอกเบี้ยที่เสนอในโครงการ RRP ให้สอดคล้องกับขอบล่างของช่วงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยสำหรับ Fed Funds Rate สิ่งนี้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลดลง และนักวิเคราะห์บางรายมองว่าอาจช่วยชะลอการขาดแคลนเงินสำรองได้อีกระยะหนึ่ง

เงินสำรองธนาคารสหรัฐร่วงต่ำสุดในรอบ 3 ปี เหลือไม่ถึง 3 ล้านล้านดอลล์

อย่างไรก็ตาม การถกเถียงเกี่ยวกับระยะเวลาที่เฟดจะสามารถดำเนินการ QT ต่อไปได้โดยไม่กระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เดือนก.ย. 2562 กำลังเพิ่มขึ้น ในขณะนั้น เงินสำรองได้ลดลงมากเกินไปในช่วงที่เฟดกำลังลดขนาดงบดุล และการขาดแคลนเงินคงคลังนำไปสู่การพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สำคัญและอัตราดอกเบี้ย Federal Funds Rate ธนาคารกลางถูกบังคับให้ต้องแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด

แม้ว่าธนาคารกลางได้ลดเพดานสำหรับพันธบัตรรัฐบาลที่จะปล่อยให้ครบกำหนดโดยไม่มีการลงทุนซ้ำในเดือนมิ.ย. แต่ยังไม่ชัดเจนว่าโครงการจะสิ้นสุดเมื่อใด

เงินสำรองธนาคารสหรัฐร่วงต่ำสุดในรอบ 3 ปี เหลือไม่ถึง 3 ล้านล้านดอลล์

การกลับมาใช้เพดานหนี้เมื่อเร็วๆ นี้ มีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้กำหนดนโยบายตัดสินใจเกี่ยวกับระดับที่เหมาะสมได้ยากขึ้น เนื่องจากมาตรการที่กระทรวงการคลังจะใช้เพื่อให้จำนวนหนี้อยู่ภายใต้เพดานมักจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับระบบการเงินอย่างไม่เป็นธรรมชาติ และบดบังตัวชี้วัดการขาดแคลนเงินสำรอง

สองในสามของผู้ตอบแบบสำรวจ Primary Dealers และ Market Participants ของธนาคารกลางนิวยอร์กคาดว่า QT จะสิ้นสุดในไตรมาสแรกหรือไตรมาสที่สองของปี 2568

อ้างอิง: Bloomberg