BYD แชมป์จีน แชมป์โลก! ยอดขายทะลุ 4 ล้านคัน ทุบสถิติ Tesla และ Honda
BYD แชมป์จีน แชมป์โลก! ยอดขายทะลุ 4 ล้านคัน ทุบสถิติใหม่ แซงหน้า Tesla และ Honda ส่งรถยนต์ 'ปลั๊กอินไฮบริด' ชิงส่วนแบ่งตลาดยุโรป - อาเซียน ดันมาร์เก็ตแชร์ตลาดโลกเพิ่มขึ้นเป็น 10%
ไฟแนนเชียล ไทมส์รายงานว่า “บีวายดี” (BYD) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติจีนบริษัทประกาศข่าวดีผ่านโซเชียลมีเดียว่า "แชมป์จีน แชมป์โลก" หลังจากที่รายงานยอดขายของทั้งปี 2567 ทำสถิติใหม่ 4.27 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 41% จากปี 2566 ทำให้บริษัทสามารถแซงหน้าคู่แข่งรายสำคัญอย่าง “ฮอนด้า มอเตอร์” ซึ่งมียอดขายรถยนต์ทั่วโลกอยู่ที่ 4.1 ล้านคันในช่วงเวลาเดียวกัน
ขณะเดียวกัน “เทสลา” (Tesla) เสียแชมป์ผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าให้กับ BYD ในสงครามราคาที่แข่งขันกันมาอย่างดุเดือด และยาวนานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย BYD มียอดการผลิตรถอีวีได้ 1,777,965 คัน เติบโตขึ้น 12% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งมากกว่ายอดผลิตของ Tesla ประมาณ 4,500 คันในปี 2567
สำนักข่าวนิกเคอิเอเชียรายงานว่า ยอดขายทั้งหมดของ BYD ได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ “ปลั๊กอินไฮบริด” ป้อนตลาด โดยมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริดอยู่ที่ 2.49 ล้านคัน เพิ่มขึ้นถึง 73%
BYD vs Tesla
ในขณะที่ BYD ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกในปี 2024 Tesla กลับเผชิญกับความท้าทายหลายประการที่ส่งผลต่อยอดขาย เช่น ความต้องการที่ลดลง กลุ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ที่ซ้ำซาก ปัญหาการผลิต และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น แม้ว่ายอดขายจะฟื้นตัวในช่วงปลายปี แต่สุดท้ายยอดขายโดยรวมของ Tesla ก็ลดลงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
เมื่อเปรียบเทียบกับ BYD ที่คงขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ และผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง “ปลั๊กอินไฮบริด” และเปิดตัวรถกระบะรุ่นแรก "Shark" ในตลาดเม็กซิโกเมื่อเดือนพ.ค.
ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า PHEV ของ BYD ของทั้งปี 2567
ยอดขายของ BYD พุ่งสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่บริษัทได้ปรับปรุง และพัฒนาแพลตฟอร์มปลั๊กอินไฮบริด DM-i ในเดือนพ.ค.67 ซึ่งทำให้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของ BYD สามารถวิ่งได้ไกลถึง 2,100 กิโลเมตรต่อการเติมน้ำมันเต็มถัง ช่วยขจัดความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับระยะทางในการขับขี่ และกระตุ้นให้ผู้คนหันมาเลือกซื้อรถยนต์ของ BYD เพิ่มมากขึ้น
ส่ง ‘ปลั๊กอินไฮบริด’ ชิงส่วนแบ่งตลาด
ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลของ BYD ในตลาดต่างประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2567 โดยเพิ่มขึ้นถึง 72% จากปีก่อนหน้า ทำให้มียอดขายรวมอยู่ที่ 417,204 คัน ส่งผลให้ BYD มีส่วนแบ่งการตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจาก 8% เป็น 10% ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอาเซียน และยุโรป รวมถึงการเปิดโรงงานประกอบรถยนต์นั่งแห่งแรกนอกประเทศจีนที่ “ประเทศไทย” ในเดือนก.ค.
อย่างที่ทราบกันดีว่า ทั้งสหรัฐ และสหภาพยุโรปได้มีการประกาศใช้มาตรการทางการค้า โดยการเก็บภาษีเพิ่มสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ผลิตจากประเทศจีน สหรัฐตั้งไว้ที่ 100% ส่วนยุโรปสูงสุดที่ 45.3% เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ
แต่จีนมีทางออกเสมอ การยุโรปที่ไม่ได้กำหนดภาษีครอบคลุมรถยนต์ไฮบริด กลายเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่ต้องการขยายตลาดในยุโรป อย่าง BYD มีแผนจะเปิดตัวรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ถึง 3 รุ่นในปีนี้ เพื่อเข้ามาแข่งขันในตลาดยุโรป
ในปีที่ผ่านมาจีนค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ยุโรป ยอดส่งออกรถยนต์ไฮบริดทุกประเภทจากจีนไปยังยุโรปในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 พุ่งสูงขึ้นถึง 18% ของยอดขายทั้งหมด ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 9% ในไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ
นโยบายหนุนชัยชนะ BYD
ยอดขายของ BYD ในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นอย่างมากจากแรงหนุนของนโยบายส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานใหม่ของรัฐบาลจีน ซึ่งรวมถึงนโยบาย “รถใหม่แลกรถเก่า” จึงสามารถทำยอดขายได้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีกำหนดสิ้นสุดในเดือนธันวาคม 2567 นักวิเคราะห์จึงจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า BYD และผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายอื่นๆ ของจีนจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปี 2568 หรือไม่
แม้ว่า BYD ยังไม่ได้เปิดเผยเป้าหมายยอดขายทั่วโลกสำหรับปี 2568 แต่การขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการเป็นผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์