‘อียิปต์’ เร่งทำแผนฟื้นฟูกาซา งัดข้อกับแผนครองกาซาของทรัมป์

รัฐบาลอียิปต์กำลังพัฒนาแผนฟื้นฟูกาซาโดยไม่ต้องให้ประชาชนในดินแดนปาเลสไตน์พลัดถิ่นบ้านเกิด ซึ่งเป็นความพยายามเสนอทางเลือกที่เป็นไปได้ สู้กับข้อเสนอที่เป็นข้อถกเถียงของทรัมป์ที่ต้องการครอบครองกาซาและให้ประชาชนพลัดถิ่นไปอยู่ประเทศอื่น

หนังสือพิมพ์ Al-Ahram รายงานเมื่อวันจันทร์ (17 ก.พ.) ว่า บัดร์ อับเดลัตตี รัฐมนตรีต่างประเทศอียิปต์เผย รัฐบาลไคโรกำลังพัฒนาแผนงานที่ครอบคลุมการฟื้นฟูและบูรณะกาซาในระยะเริ่มต้นอย่างแข็งขัน เพื่องัดข้อกับแผนของสหรัฐ และสู้กับมุมมองหรือแผนต่างๆ ที่มุ่งจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภูมิศาสตร์และประชากรในฉนวนกาซา

รายงานระบุว่า อียิปต์จะจัดทำแผนฟื้นฟูเสร็จสิ้นภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าในระยะแรกจะเริ่มการฟื้นฟูหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมฉุกเฉินของอาหรับในกรุงไคโร ซึ่งปัจจุบันมีกำหนดไว้ในวันที่ 27 ก.พ.

ขณะที่ซาอุดีอาระเบียได้เตรียมจัดประชุมกับเจ้าหน้าที่จากอียิปต์ กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และจอร์แดน ในวันพฤหัสบดีที่ 20 ก.พ. นี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมอาหรับ 5 ฝ่ายเพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการบูรณะกาซาใหม่ของอียิปต์

ในแผนฟื้นฟูกาซาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องให้ให้อียิปต์และจอร์แดนรับประชาชนจากกาซาเพิ่ม เพื่อเปิดทางให้เข้าไปซ่อมแซมเมืองในกาซา แต่ทั้งสองประเทศปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว และกลุ่มสิทธิมนุษยชนประณามว่าเป็นการดำเนินการเทียบเท่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ส่วนแผนของฝ่ายอียิปต์ ได้ตั้งเป้าจัดตั้งพื้นที่ปลอดภัยภายในกาซา ที่ชาวปาเลสไตน์สามารถอาศัยอยู่ได้ในขณะที่ธุรกิจก่อสร้างของอียิปต์และธุรกิจก่อสร้างระหว่างประเทศกำลังรื้อถอนและบูรณะโครงสร้างที่ถูทำลายจากสงคราม ซึ่งอาจดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ โดยรวมใช้เวลาฟื้นฟูราว 5 ปี

ทางการอียิปต์เผยกับเอพีว่า ชาวปาเลสไตน์จะได้รับอนุญาตให้อยู่ในกาซาในระหว่างบูรณะเมือง โดยจะมีเขตปลอดภัย 3 แห่งในกาซา เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยให้กับประชาชนในระหว่างฟื้นฟูเมืองเบื้องต้น 6 เดือนแรก โดยจะมีบ้านและที่พักพิงเคลื่อนที่ให้ภายในเขตปลอดภัย พร้อมกับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และความพยายามฟื้นฟูและบูรณะเมืองจะช่วยสร้างงานหลายพันอัตราให้กับชาวกาซา

เอพีรายงานอีกว่า รัฐบาลไคโรยังได้หารือแนวทางระดมทุนสนับสนุนแผนของตนร่วมกัยนักการทูตยุโรป รวมถึงพันธมิตรอาหรับทั้ง ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

อ้างอิง: Al Jazeera