คนอเมริกันเสี่ยงเจอยาแพง! หากทรัมป์ขึ้นภาษียา 25%

ได้ไม่คุ้มเสีย! ปธน.ทรัมป์เล็งขึ้นภาษียาจากจีน 25% เสี่ยงดันราคายาในสหรัฐแพงขึ้น และขาดแคลนมากกว่าเดิม อีกทั้งการสร้างอุตสาหกรรมวัตถุดิบยาในสหรัฐ เพื่อไม่ต้องพึ่งจีน อาจใช้เวลานานถึง 10 ปี
KEY
POINTS
- ใน “เ
หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ว่า นอกจากจีนเป็นฐานส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไปทั่วโลกแล้ว จีนยังเป็น “ผู้ส่งออกยารายใหญ่” ของโลกด้วย โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ประธานาธิบดีทรัมป์ถึงขู่ “เก็บภาษี 25%” สำหรับ “ผลิตภัณฑ์ยา” ที่มาจากจีน หากบริษัทยาใดไม่ต้องการโดนภาษี ก็ให้ย้ายฐานจากจีนไปตั้งที่สหรัฐแทน
หากทรัมป์เก็บภาษี 25% จริง วิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ในการดึงฐานในจีนกลับมา คำตอบจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญคือ “ไม่ค่อยได้ผล” ซ้ำยังทำให้ยาในสหรัฐแพงขึ้นด้วย การเข้าถึงยาของชาวอเมริกันจากเดิมที่ยากอยู่แล้ว ก็จะยากขึ้นไปอีก และเสี่ยงต่อการขาดแคลนยาสำคัญ
“เป็นเรื่องเพ้อฝัน ที่คิดว่าขึ้นภาษีแล้ว จะทำให้พวกเขาย้ายฐานการผลิตกลับประเทศ” คาเมรอน จอห์นสัน หุ้นส่วนอาวุโสของ Tidalwave Solutions บริษัทที่ปรึกษาด้านห่วงโซ่อุปทานในเซี่ยงไฮ้กล่าว “นี่จะไม่ส่งผลกระทบอะไรเลย”
ในจดหมายถึงทรัมป์เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ สมาคมโรงพยาบาลแห่งอเมริกา (American Hospital Association) ระบุว่า แม้แต่ภาษีเพิ่มเติม 10% กับจีน ก็จะเป็นอุปสรรคต่อผู้ผลิตยาในสหรัฐในการผลิตยาสำคัญ เนื่องจากสหรัฐต้องพึ่งพาส่วนผสมหลักจากจีนเกือบ 30%
กลุ่มล็อบบี้ด้านยา ยังเรียกร้องทรัมป์ให้ยกเว้นภาษีอุปกรณ์ทางการแพทย์และยาจากประเทศจีน โดยเสริมว่า 1 ใน 3 ของหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้ง และ 94% ของถุงมือพลาสติกที่ใช้ในระบบดูแลสุขภาพของอเมริกา มาจากประเทศจีนในปี 2023
“การหยุดชะงักในการจัดหาอุปกรณ์เหล่านี้ จะลดความสามารถของโรงพยาบาลในการผ่าตัดช่วยชีวิต และรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ” สมาคมโรงพยาบาลแห่งอเมริกากล่าว
ย้อนไปในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 โรงพยาบาลในอเมริกายังคงหลอนด้วยความทรงจำจากการปิดโรงงานในจีน นำไปสู่การขาดแคลนสินค้าพื้นฐาน ยาแก้ปวดและหน้ากากอนามัยในอเมริกา ซึ่งหากทรัมป์จะเก็บภาษีนำเข้ายาตามนี้จริง ก็จะทำให้ราคายาพุ่งสูง และเกิดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน
สหรัฐพึ่งวัตถุดิบยาจากจีนมาก
สำหรับใน “ตลาดยา” จีนที่เคยเป็นประเทศยากจน ได้ทะยานขึ้นมาเป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดยาระดับโลก โดยส่งออกตั้งแต่วัตถุดิบทางยา ยาสามัญ และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ระดับล่าง แต่จำเป็นอย่างสำลีผ่าตัด ชุดกาวน์แพทย์ ฯลฯ
หากนับใน “เชิงปริมาณ” จีนถือได้ว่าเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยาอันดับ 1 ไปยังสหรัฐ ขณะใน “เชิงมูลค่า” จีนอยู่ในอันดับที่ 7 ที่ส่งไปยังสหรัฐ ตามข้อมูลของ Coalition for a Prosperous America (CPA) ในปี 2023 ซึ่งเป็นกลุ่มวิจัยและส่งเสริมการผลิตในสหรัฐที่ไม่แสวงหากำไร
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ยาเหล่านี้เติบโตอย่างก้าวกระโดด จนตกเป็นเป้าสนใจของผู้กำหนดนโยบายสหรัฐ ที่กังวลใจว่าสหรัฐกำลังพึ่งคู่แข่งอย่างจีนมากเกินไป โดยข้อมูลจากสถาบันเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ Peterson เผยว่า ในปี 2003 จีนส่งออกยาจำเป็นไปยังสหรัฐที่ 30 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2023 ตัวเลขดังกล่าวกลับพุ่งสูงทะลุ 2 พันล้านดอลลาร์
ยิ่งไปกว่านั้น หากนับจากปี 2017 ถึง 2024 เพียงอย่างเดียว การส่งออกยาจากจีนไปยังสหรัฐ พุ่งสูงขึ้นมากกว่า 500% จนแซงหน้าการเติบโต 120% ของการนำเข้าโดยรวมของสหรัฐในช่วงเวลาเดียวกันอย่างมาก ตามข้อมูลของวิคกี้ เซียว โจว นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัททางการเงิน ANZ
จีนเจ็บไหม เมื่อสหรัฐขึ้นภาษี 25%
คำตอบของคำถามนี้คือ จีนได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อย โดยนักเศรษฐศาสตร์โจวให้ความเห็นว่า มูลค่าการค้ายาระหว่างจีน-สหรัฐ มีสัดส่วนเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่า 525,000 ล้านดอลลาร์ที่ศุลกากรจีนบันทึกไว้ในยอดการส่งสินค้าทั้งหมดที่ไปยังสหรัฐ ดังนั้น ภาษี 25% ของทรัมป์ จึงมีผลกระทบ “เล็กน้อย” ต่อศักยภาพการส่งออกของจีน
ด้านอดัม จาง ซีอีโอของ Collabrium Partners ธนาคารเพื่อการลงทุนที่เน้นอุตสาหกรรมยา ก็เห็นตรงกันว่า ภาษีดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลเสียต่อจีนมากนัก “จริงๆ แล้วจีนก็อยากจะลดการส่งออกสินค้าพื้นฐานระดับล่างอยู่แล้ว เพราะรัฐบาลจีนอยากจะเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูง ซึ่งทำเงินได้มากกว่า” จางกล่าว
ไม่เพียงเท่านั้น จางยังมองว่าสงครามการค้าไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบริษัทจีนส่วนใหญ่ ซึ่งเขาเคยให้คำปรึกษาแก่ผู้ผลิตยาจีนหลายราย ให้กระจายโรงงานไปในต่างประเทศตั้งแต่ปี 2018 เมื่อทรัมป์เรียกเก็บภาษีจากจีนในวาระแรกของเขา บริษัทจีนก็อาศัยโรงงานในต่างประเทศ หรือเข้าซื้อกิจการในสหรัฐแทน เพื่อไม่ต้องโดนภาษีทรัมป์ ซึ่งมองภายนอกก็เป็นบริษัทสหรัฐ แต่เจ้าของจริงกลับเป็นคนจีน
ดึงบริษัทยาสหรัฐกลับไม่ง่าย
ด้านสมาคมยาที่เข้าถึงได้ (Association for Accessible Medicines) ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ด้านยาสามัญในวอชิงตันเตือนว่า ภาษีใหม่ของทรัมป์จะบีบอัตรากำไรของผู้ผลิตยา และทำให้การขาดแคลนยาที่มีปัญหาอยู่แล้วรุนแรงขึ้นไปอีก
“ผู้ผลิตยาสามัญไม่สามารถรับภาระต้นทุนใหม่ได้ ผู้ผลิตของเราขายในราคาที่ต่ำมาก บางครั้งขายขาดทุน และถูกบังคับให้ออกจากตลาดจากการขาดทุนที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ” สมาคมยาฯระบุในจดหมายฉบับหนึ่งในเดือนนี้ “ภาษีจะทำให้สถานการณ์นี้แย่ลงมาก”
ไม่เพียงเท่านั้น เป็นไปได้ว่าผู้ผลิตยาสหรัฐในจีน มีแนวโน้มผลักภาระต้นทุนไปที่ผู้บริโภค แทนที่จะย้ายฐานกลับไปที่สหรัฐ เหตุผลเพราะสหรัฐยังคงขาดระบบนิเวศที่จะผลิตยาเหล่านั้นในราคาถูก อีกทั้งอัตรากำไรที่ต่ำมากของผู้ผลิตยาสามัญ จะกระตุ้นให้บริษัทยาขึ้นราคาในที่สุด และท้ายที่สุดก็กระทบที่ผู้บริโภค
ยิ่งไปกว่านั้น สภาหอการค้าจีนเพื่อการนำเข้าและส่งออกยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนการค้าที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลปักกิ่ง ออกโรงเตือนว่า การส่งออกยาของจีนไปยังสหรัฐอาจลดลงในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากวอชิงตันเพิ่มภาษี
“ถ้าอเมริกาต้องการเลิกพึ่งพาเราเรื่องวัตถุดิบยา ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี เพื่อพัฒนาระบบการผลิตวัตถุดิบยาในประเทศขึ้นมาเอง” สภาหอการค้าจีนด้านยากล่าว