จากเงินเฟ้อสู่ ‘เศรษฐกิจถดถอย’ เรื่องที่ตลาดทุนกำลังกลัว

ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐ 'ถดถอย' กำลังถูกพูดถึงหนาหูมากขึ้นในช่วงนี้ หลังตลาดทุนเริ่มสะท้อนความกังวลเป็นพิเศษต่อผลกระทบจาก 'มาตรการภาษีของทรัมป์'
ตลาดหุ้นโลกกำลังผันผวนอย่างหนักในช่วงนี้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐที่ทั้งขึ้นหนัก และลงหนักสลับกันภายในสัปดาห์เดียวกัน เพราะแม้จะได้รับข่าวดีมาบ้างจากเรื่องที่ “สหรัฐ” จะผ่อนปรนการเรียกเก็บภาษีจากแคนาดาและเม็กซิโก แต่ก็เป็นแค่ข่าวดีสั้นๆ ไม่ยั่งยืนในห้วงสงครามการค้า
ในทางตรงกันข้าม ความกังวลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังกลับมาเป็นประเด็นถกเถียงอีกครั้ง โดยเฉพาะความเสี่ยง “เศรษฐกิจถดถอย” (Recession) ในสหรัฐ ตลาดการเงินส่งสัญญาณว่าความเสี่ยงนี้กำลังเพิ่มขึ้นเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากร บวกกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจหลายด้านที่อ่อนแอลง ทำให้เกิดความกลัวไปทั่ววอลล์สตรีทในขณะนี้
แบบจำลองจากเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค แสดงให้เห็นว่า ความน่าจะเป็นของตลาดต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มขึ้นจาก 17% เมื่อสิ้นเดือนพ.ย. พุ่งขึ้นเกือบเท่าเป็น 31% ในวันอังคาร ที่ผ่านมา โดยตัวบ่งชี้สำคัญ เช่น พันธบัตรอายุ 5 ปีและโลหะพื้นฐาน แสดงให้เห็นถึงโอกาสที่เศรษฐกิจจะถดถอยสูงขึ้น ซึ่งอาจจะมากกว่ากรณีฐาน ขณะที่แบบจำลองที่คล้ายกันจากโกลด์แมน แซคส์ กรุ๊ป อิงก์ ก็บ่งชี้ว่าความเสี่ยงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังเพิ่มขึ้นจาก 14% ในเดือนม.ค. เป็น 23%
นิโคลอส ปานิเกิร์ตโซกลู นักกลยุทธ์ของเจพีมอร์แกน กล่าวว่า ข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจในสหรัฐที่อ่อนแอลง และความเชื่อมั่นของธุรกิจ และผู้บริโภคที่อ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้การเก็บภาษีศุลกากรกับแคนาดา เม็กซิโก และจีนเมื่อวันที่ 4 มี.ค.68 ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ และผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบมากขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และตลาดก็กำลังสะท้อนความเชื่อนี้มากขึ้น
ตัวชี้วัดที่เป็นข่าวใหญ่ และเป็นความกังวลของหลายฝ่ายก็คือ แบบจำลองจีดีพีสหรัฐของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา ที่ประเมินออกมาว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสแรกปีนี้จะ “หดตัว” 2.8% ซึ่งเป็นหนังคนละม้วนเมื่อเทียบกับแบบจำลองในสัปดาห์ก่อนหน้าว่าจะโตได้ 2.3% หรือการคาดการณ์ของเดือนก่อนที่ให้ไว้ว่าจะโตได้ถึง 4.0%
ที่จริงแล้วแบบจำลองจีดีพีนี้มีความผันผวนสูง และอาจจะออกมาได้หลายครั้งในแต่ละเดือน โดยขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่เข้ามา ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเลขอาจดีดตัวกลับไปเป็นบวกได้ในสัปดาห์หน้าหากได้ปัจจัยบวก เพียงแต่ว่าตัวเลข -2.8% ก็สะท้อนให้เห็นถึงปัญหา และความเสี่ยงที่กำลังรุมเร้าอยู่เช่นกัน
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของ ISM ล่าสุดในเดือนก.พ. ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.3 ลดลงจาก 50.9 ในเดือนม.ค. และยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.6 สะท้อนว่าภาคการผลิตของสหรัฐกำลังชะลอตัว ดัชนีได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าของสหรัฐ
ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคส่วนบุคคลเดือนม.ค. แม้จะขยายตัว (YoY) ลดลงเล็กน้อย 2.5% จากที่โต 2.6% ในเดือนธ.ค. แต่ก็ยังไม่ใช่ระดับที่วางใจได้เพราะการใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลง 0.2% ยิ่งถ้าหักลบเงินเฟ้อจะลดลงถึง 0.5% หรือเป็นการลดลงรายเดือนที่มากที่สุดในรอบ 4 ปี
คนอเมริกันกลับมาปวดหัวกับ “ภาวะเงินเฟ้อ” (Inflation) อีกครั้งตั้งแต่เดือนม.ค.เป็นต้นมา จากราคาไข่ไก่ที่พุ่งสูงเพราะสถานการณ์ระบาดของไข้หวัดนก ซึ่งราคาไข่ในยุคทรัมป์แพงแซงหน้าไข่ยุคโจ ไบเดน ที่เคยมีช่วงเงินเฟ้อพุ่งสูงมากเมื่อประมาณปี 2022-2023 ไปแล้ว และยังสะท้อนผ่านคะแนนนิยมของทรัมป์โดยโพลล์ของรอยเตอร์ส/อิปซอส ที่ลดลงเล็กน้อยเหลือ 31% กับกลุ่มตัวอย่างที่เห็นด้วยกับวิธีที่ทรัมป์จัดการกับค่าครองชีพ
เงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง และยิ่งมีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีกจากผลพวงของมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งภาคธุรกิจ และนักวิชาการหลายฝ่าย “เห็นพ้อง” ว่าจะเกิดขึ้นแน่ อาจจะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการใช้จ่ายของผู้บริโภคตามมา และยิ่งตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.พ. ออกมาน้อยกว่าคาด ในขณะที่ฝั่งภาครัฐบาลก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากการเลิกจ้างเพื่อคุมค่าใช้จ่าย ก็จะยิ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนักลงทุน
ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนม.ค. ตกต่ำที่สุดในรอบ 3 ปีครึ่ง ยอดขายปลีกลดลงมากที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี และข้อมูลกิจกรรมการผลิตของสหรัฐในวันจันทร์แสดงให้เห็นถึงการลดลงอย่างมากของคำสั่งซื้อใหม่และการจ้างงาน
“สิ่งหนึ่งที่จำเป็นสำหรับเศรษฐกิจก็คือ ความเชื่อมั่น ซึ่งกำลังได้รับผลกระทบ...แม้ส่วนตัวจะยังไม่คิดว่าจะไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจลดความเสี่ยงจากหุ้นสหรัฐ” ฟรองซัวส์ ซาวารี ซีเอฟโอของบริษัทเก็นวิล เวลธ์ แมเนจเมนท์ กล่าวกับรอยเตอร์ส
‘เวิลด์แบงก์’ เตือนภาษีทรัมป์ทำจีดีพีโลกหดตัว 0.3%
ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ส่งสัญญาณเตือนมาตั้งแต่กลางเดือนม.ค. ว่า จากเดิมที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงอยู่แล้ว และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเพียง 2.7% ในปีนี้ แต่การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าตอบโต้ (reciprocal tariff) ทุกประเภทของสหรัฐในอัตรา 10% ที่จะรู้ผลในเดือนเม.ย. นี้อาจส่งผลให้จีดีพีโลก "หดตัวลงอีก 0.3%" เนื่องจากภาษีดังกล่าวอาจทำให้หลายประเทศดำเนินมาตรการตอบโต้กลับคืน
ธนาคารโลกได้ศึกษาผลกระทบจากการที่สหรัฐปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าทุกรายในอัตรา 10% พบว่า การกระทำดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกเติบโตช้าลง โดยคาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะลดลง 0.2% หากประเทศอื่นๆ ไม่ตอบโต้ใดๆ แต่หากประเทศคู่ค้าตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นกัน ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจะรุนแรงยิ่งขึ้น
นอกจากผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกแล้ว การศึกษาของธนาคารโลกยังชี้ให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาเองก็จะได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าดังกล่าวเช่นกัน โดยคาดการณ์ว่า จีดีพีของสหรัฐจะหดตัวลง 0.4% หากมีการขึ้นภาษีศุลกากรเพียงฝ่ายเดียว และหากมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐจะรุนแรงขึ้น โดยจีดีพีอาจหดตัวถึง 0.9%
IMF หวั่นภาษีฉุดเศรษฐกิจ เม็กซิโก-แคนาดา โดนหนักสุด
คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เคยส่งสัญญาณเตือนเมื่อเดือนม.ค. นี้ว่า ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าของรัฐบาลชุดใหม่สหรัฐ กำลังเพิ่มแรงกดดันต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะลดลงมาแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ "ผิดปกติมาก"
กอร์เกียวา ระบุว่า นโยบายการค้าของสหรัฐ "จะส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อประเทศ และภูมิภาคที่บูรณาการกับห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก" ซึ่งรวมถึงประเทศเศรษฐกิจขนาดกลางหลายแห่ง และภูมิภาคเอเชีย สอดคล้องกับที่ ปิแอร์ โอลิวิเยร์ กูรินชาส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าวเตือนเมื่อเดือนตุลาคม ว่า ภาษีศุลกากรและความไม่แน่นอนของการค้าอาจฉุดจีดีพีทั่วโลกลดลงประมาณ 0.5%
ขณะที่ จูลี โคแซค โฆษกของ IMF ได้พูดคุยกับสื่อระหว่างการประชุม Press Meeting เมื่อวันที่ 6 มี.ค.68 และเตือนว่า การเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐจะส่งผลกระทบในทางลบต่อทั้งแคนาดา และเม็กซิโกอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้นกับสหรัฐ
บทวิเคราะห์ของรอยเตอร์ส ระบุว่า คำกล่าวดังกล่าวเป็นครั้งแรกๆ ที่ IMF แสดงท่าทีต่อมาตรการด้านภาษีของทรัมป์ โดยอ้างถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับแคนาดา และเม็กซิโก และกล่าวว่าประเด็นสำคัญต่อไปคือ IMF ต้องประเมินว่าความปั่นป่วนทั้งหมดของตลาดการเงินโลกจะเป็นความปั่นป่วนเพียงระยะสั้นหรือเป็นผลกระทบระยะยาว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์