สงครามการค้าแรง ดัน 'รถแพงทั้งแผ่นดิน' ? | กันต์ เอี่ยมอินทรา

สงครามการค้าเดือดทั่วโลก ดันราคารถแพงทั้งแผ่นดิน แม้แต่ละประเทศ/ภูมิภาคมีข้อเด่นข้อด้อยที่ต่างกัน แต่ปัจจัยหลายๆอย่าง ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เกิดสงครามการค้าและทำให้รถยนต์แพง ในที่สุด
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะที่เซื่องซึมอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วิกฤติโควิดเรื่อยมา
ประกอบกับเทคโนโลยีและบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและหนึ่งในตัวชี้วัดที่ชัดเจนก็คือจำนวนยอดขายรถในประเทศที่ตกลงเรื่อยๆ แม้กระทั่งแบรนด์รถ EV จากจีนอย่าง BYD ก็มียอดที่แย่ลงเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ถือเป็นสัญญาณอันตรายสำหรับเศรษฐกิจไทยที่เราเคยได้ชื่อว่า ดีทรอยต์แห่งตะวันออก เพราะเราพึ่งพิงอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างหนัก
แต่สิ่งที่ไทยกำลังเผชิญนั้นน่าจะเรียกได้ว่ายังไม่กะทันหันเท่ากับสิ่งที่คู่ค้ารถยนต์หลักของสหรัฐ อย่างเม็กซิโก แคนาดาและสหภาพยุโรปกำลังเผชิญอยู่ อันเนื่องมาจากการขึ้นกำแพงภาษีที่สูงถึง 25% ของสหรัฐกับรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ไม่ได้ผลิตในอเมริกา
อุตสาหกรรมรถยนต์นั้นมีความซับซ้อนมาก และแต่ละประเทศหรือภูมิภาคก็มีข้อเด่นข้อด้อยที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นแคนาดามีเหล็กและอะลูมิเนียมที่ถูกซึ่งถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของรถยนต์ สหรัฐมีเทคโนโลยี ขณะที่เม็กซิโกมีแรงงานที่ถูก และนี่คือส่วนประกอบที่สำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในทวีปอเมริกาเหนือนั้นเติบโตมาอย่างต่อเนื่องหลายสิบปี เกิดรถยนต์ที่มีคุณภาพภายใต้ราคาที่เข้าถึงได้ เกิดมูลค่าตลาดกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์
เช่นเดียวกันกับยุโรปและเอเชีย ที่บางประเทศมีทรัพยากรเหล็ก อะลูมีเนียมที่ถูก หรือในปัจจุบันที่บางประเทศมีแร่ที่เอื้อต่อการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า อาทิ อินโดนีเซีย ขณะที่บางประเทศมีแรงงานที่ถูก (อาทิ ไทยในอดีต) บางประเทศมีเทคโนโลยี (อาทิ ญี่ปุ่น) จึงเกิดการรวมตัวสร้างเครือข่ายอุปทานของอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับภูมิภาค และหากทำดี ก็สามารถเริ่มตีตลาดโลกแบบที่เราและยุโรปทำได้
ซึ่งปัญหาในปัจจุบัน หากมองเร็วๆ แบบนักบัญชีก็จะพบว่า ตัวเลขของการนำเข้าสินค้ามันเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ เกิดการขาดดุลอย่างหนัก โดยเฉพาะประเทศที่มีกำลังซื้อสูง แต่ด้วยปัจจัยหลายๆ อย่างทำให้อุปทานในประเทศตนเองกลายเป็นต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่ง อาทิ สหรัฐ ซึ่งก็นำมาซึ่งสงครามภาษีที่กำลังเกิดขึ้น
แต่แท้จริงแล้วสงครามภาษีมีประโยชน์ก็เฉพาะแต่นักการเมืองและบางบริษัทในอุตสาหกรรมเท่านั้น มิใช่จะส่งผลดีต่อประชาชนโดยรวม เพราะราคาสินค้าจะเพิ่ม อย่างกรณีของรถยนต์นี้ก็มีการวิเคราะห์แล้วว่า ราคารถยนต์อาจจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 3,000-10,000 ดอลลาร์ต่อคัน โดยเฉพาะรถกระบะซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในสหรัฐที่อาจมีราคาสูงขึ้นถึง 10,000 ดอลลาร์ต่อคัน
หากสงครามการค้าเกิดขึ้นจริงทั้งสหรัฐและแคนาดาจะเจ็บหนัก นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการว่ายอดขายรถในสหรัฐอาจตกลงถึง 13.6% ขณะที่ในแคนาดายอดขายอาจตกลงถึง 10.6%
และไม่เพียงแต่รถยนต์นำเข้าที่ราคาจะสูงขึ้น รถยนต์ที่ผลิตในประเทศก็จะมีราคาที่สูงขึ้นเช่นกัน เพราะราคาเหล็กและอะลูมิเนียมจากแคนาดาจำต้องเสียภาษีเพิ่ม หรือไม่ก็ต้องหาจากแหล่งอื่นที่ราคาจะดีดตัวขึ้นตามกลไกตลาดไม่นับรวมค่าแรงสหรัฐที่สูงกว่าเม็กซิโกอยู่แล้ว
และทั้งหมดที่กล่าวมาคือ ตัวอย่างจาก 1-2 คู่ค้าเท่านั้น ยังไม่ได้พูดถึงสหรัฐกับค่ายรถยุโรป ซึ่งก็มีมูลค่าตลาดที่ใหญ่มากระดับแสนล้านดอลลาร์ต่อไป ดังนั้น ดุเดือดและไม่เป็นสุข น่าจะเป็นคำนิยามของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปีนี้