ทำไมนโยบายทรัมป์ กำลังทำให้ ‘ดอลลาร์’ เสื่อมถอย?

ทำไมนโยบายทรัมป์ กำลังทำให้ ‘ดอลลาร์’ เสื่อมถอย?

การที่ ‘ดอลลาร์’ กลายเป็นสกุลหลักของโลก มิใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่มาจากการวางโครงสร้างอำนาจอันเหนือชั้นที่ได้ค้ำจุดเงินตรานี้ แต่ในยุคทรัมป์ นโยบายสหรัฐกลับถูกตั้งคำถามถึงการบั่นทอนอำนาจดอลลาร์ ซึ่งกำลังทำให้สกุลนี้เข้าสู่ยุคเสื่อมถอย

KEY

POINTS

  • การที่ ‘ดอลลาร์’ กลายเป็

เมื่อระเบียบโลกเริ่มไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เกิดสงครามภาษีขึ้น หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า “ดอลลาร์” สกุลเงินหลักที่ถูกใช้เป็นทุนสำรองราว 60% ของโลกจะไปในทิศทางใด สู่จุด “รุ่งเรือง” หรือ “เสื่อมถอย” กันแน่

สำหรับคำตอบนี้ แบร์รี่ ไอเคนกรีน (Barry Eichengreen) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกัน และเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Exorbitant Privilege: The Rise and Fall of the Dollar” (อภิสิทธิ์อันล้นพ้น: การผงาดขึ้นและร่วงลงของดอลลาร์) ได้เผยมุมมองนี้ผ่านหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์สว่า การดำเนินนโยบายของทรัมป์ที่กำลังทำ กลับพาดอลลาร์ไปสู่ “จุดเสื่อมถอย” 

ก่อนจะไปถึงเรื่องนโยบายทรัมป์ ทำให้อนาคตดอลลาร์เสื่อมถอยอย่างไร ไอเคนกรีนเล่าย้อนไปถึงโครงสร้างอำนาจที่ทำให้ดอลลาร์ผงาดขึ้นมายิ่งใหญ่ ผ่านเรื่องราว “เสาหลักที่ค้ำจุนดอลลาร์” เพื่อปูพื้นเรื่องดังนี้

ทำไมนโยบายทรัมป์ กำลังทำให้ ‘ดอลลาร์’ เสื่อมถอย? - แบร์รี่ ไอเคนกรีน -

สร้างเฟด-IMF-ธนาคารโลก หนุนดอลลาร์

ในการทำให้ดอลลาร์มีอิทธิพลเหนือระบบการเงินโลก “พอล วอร์เบิร์ก” (Paul Warburg) นายธนาคารเชื้อสายเยอรมัน-อเมริกันจากตระกูลธนาคารวอร์เบิร์กเห็นว่า อังกฤษได้รับประโยชน์จากการเป็นผู้ให้สินเชื่อหลักของโลก ผ่านระบบการเงินในกรุงลอนดอน 

ในขณะนั้นเอง สหรัฐยังต้องพึ่งพาลอนดอน และเงินปอนด์สเตอร์ลิงของอังกฤษในการเข้าถึงสินเชื่อระหว่างประเทศ วอร์เบิร์กตระหนักว่า การพึ่งพาเช่นนี้ ทำให้สหรัฐตกอยู่ในความเสี่ยงจากแรงกระแทกทางเศรษฐกิจภายนอกที่อยู่เหนือการควบคุม

ขณะเดียวกัน วอร์เบิร์กสังเกตเห็นว่า ความแข็งแกร่งของ “กรุงลอนดอน” ในฐานะ “ศูนย์กลางการเงินโลก” ส่วนหนึ่งมาจากธนาคารกลางอังกฤษ ซึ่งมีบทบาทรักษาเสถียรภาพทางการเงิน โดยทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้ในยามวิกฤติ 

ในทางตรงกันข้าม สหรัฐในขณะนั้นยังไม่มีธนาคารกลาง ซึ่งจำกัดความสามารถของเงินดอลลาร์ในการแข่งขันระหว่างประเทศ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงผลักดันการก่อตั้งธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งในที่สุด การถือกำเนิดของเฟดในปี 1913 ก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบการเงินสหรัฐ และเสริมบทบาทดอลลาร์ในระดับโลก

ต่อมา หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด “สหรัฐ” ได้กลายเป็นมหาอำนาจตะวันตกที่ทรงอิทธิพลที่สุด ซึ่งเปิดโอกาสให้ดอลลาร์มีบทบาทสูงขึ้นกว่าเดิม และแรงผลักดันที่ทำให้ดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินชั้นนำของโลก ก็มาจาก “แฮร์รี เด็กซ์เตอร์ ไวท์” (Harry Dexter White) นักเศรษฐศาสตร์และนักนโยบายคนสำคัญของสหรัฐ

ต่างจากพอล วอร์เบิร์ก ตัวของไวท์เติบโตจากพื้นเพที่ค่อนข้างธรรมดา โดยมีพ่อแม่เป็นผู้อพยพจากลิทัวเนีย และพ่อของเขาทำงานในร้านขายอุปกรณ์เครื่องมือ

ไวท์เริ่มต้นอาชีพในสายวิชาการ แต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ต่อมาเขาได้เข้าทำงานในกระทรวงการคลังสหรัฐในปี 1934 และในที่สุด ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีคลัง ภายใต้การนำของ เฮนรี มอร์เกนเธา (Henry Morgenthau) รัฐมนตรีกระทรวงการคลังในขณะนั้น โดยไวท์มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการเงินระหว่างประเทศในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของไวท์เกิดขึ้นในระหว่างสงคราม เมื่อเขาร่างแผนซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรากฐานการก่อตั้งสถาบันระหว่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ธนาคารโลก และระบบเบรตตัน วูดส์ ซึ่งสถาบันเหล่านี้มีส่วนทำให้เงินดอลลาร์ กลายเป็นสกุลเงินหลักที่ครองอำนาจการค้าและการเงินโลกหลังสงคราม

สำหรับกลยุทธ์ที่ไวท์ใช้ คือ ในตอนแรก ข้อตกลงเบรตตัน วูดส์ระบุว่า อัตราแลกเปลี่ยน “ควรผูกกับทองคำหรือสกุลเงินที่สามารถแปลงเป็นทองคำได้” อย่างไรก็ตาม เดนนิส โรเบิร์ตสัน (Dennis Robertson) นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษชี้ให้เห็นว่า หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เงินดอลลาร์จะเป็นเพียงสกุลเดียวที่สามารถแปลงเป็นทองคำได้อย่างเต็มที่

เมื่อไวท์เห็นโอกาสนี้ เขาและทีมงานจึงร่างข้อตกลงใหม่ โดยแทนที่คำว่า ผูกกับ “สกุลเงินที่สามารถแปลงเป็นทองคำได้” ด้วยคำว่า อัตราแลกเปลี่ยนจะผูกกับ “ทองคำ” หรือ “ดอลลาร์” แทน

การเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ดอลลาร์กลายเป็น “ศูนย์กลางระบบการเงินระหว่างประเทศ” ที่สกุลเงินอื่น ๆ หมุนรอบแทน

เงินช่วยยุโรป-การค้าเสรี หนุนดีมานด์ดอลลาร์

อันที่จริง การที่ดอลลาร์ครอบงำโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ไม่ได้เกิดจากเบรตตัน วูดส์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยอื่นสนับสนุนด้วย นั่นคือ “แผนมาร์แชล” (Marshall Plan) 

หลังจากยุโรปบอบช้ำหนักจากการเป็นสนามรบในสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐก็ไม่ได้ทอดทิ้งยุโรป แต่ได้เป็น “พี่ใหญ่” ให้เงินช่วยเหลือแก่ยุโรปจำนวนมากผ่านแผนมาร์แชล เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งการจัดหาเงินดอลลาร์ให้นี้ ทำให้สกุลนี้ถูกใช้อย่างแพร่สะพัด และดึงเศรษฐกิจยุโรปกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโลกอีกครั้ง 

ในเวลาต่อมา เมื่อเศรษฐกิจยุโรปกลับมาฟื้นแข็งแรง ดอลลาร์จึงได้กลายเป็นสกุลเงินอันดับต้นๆ ที่ยุโรปเชื่อมั่น และเลือกเก็บเป็นทุนสำรอง

ไม่เพียงเท่านั้น ความตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (GATT) และประชาคมเศรษฐกิจยุโรป (EEC) ที่ผู้นำสหรัฐสนับสนุนให้เกิดขึ้น ได้กระชับความสัมพันธ์ทางการเงินระหว่างยุโรปกับสหรัฐให้แน่นแฟ้น และหนุนบทบาทดอลลาร์ในการค้าระหว่างประเทศ

ที่สำคัญคือ “NATO” องค์การความร่วมมือทางทหารที่มีสหรัฐเป็นแกนนำ ในระดับความผูกพันที่หากประเทศใดในกลุ่มถูกโจมตี ก็เท่ากับโจมตีทั้งกลุ่ม ได้ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับยุโรปในเงินดอลลาร์ เพราะหมายความว่า พวกเขาสามารถพึ่งพาคำมั่นสัญญาของสหรัฐ และสกุลเงินของสหรัฐ เพื่อความมั่นคง 

ทำไมนโยบายทรัมป์ กำลังทำให้ ‘ดอลลาร์’ เสื่อมถอย? - NATO -

ด้วยการผสมผสานระหว่าง “การสนับสนุนทางเศรษฐกิจ” และ “พันธมิตรทางทหาร” จึงทำให้เงินดอลลาร์ กลายเป็นสกุลเงินที่น่าเชื่อถือสำหรับยุโรปในช่วงหลังสงคราม แม้ว่าระบบเบรตตัน วูดส์ถูกยกเลิกไปในปี 1971 ก็ตาม

สงครามการค้า ทำลายดอลลาร์?

กลับมาใน “ยุคทรัมป์” ไอเคนกรีนเล่าว่า ที่ผ่านมา ดอลลาร์เป็นที่นิยมในฐานะสกุลเงินสำรองของธนาคารกลาง และถูกใช้แพร่สะพัดในระหว่างประเทศ ก็เพราะมีสภาพคล่องเพียงพอ ขณะเดียวกันก็สามารถรักษามูลค่าของตัวเองได้

แต่ “สงครามการค้า” กลับทำให้สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนไป ไอเคนกรีนชี้ว่า “การเชื่อมโยงทางการค้าระหว่างกัน” สำคัญต่อการใช้สกุลเงินนั้นในระดับนานาชาติ ซึ่งการทำลายความเชื่อมโยงด้วยกำแพงภาษี จะทำให้สถานะดอลลาร์ในระดับโลกอ่อนแอลง

เหตุผลเพราะในช่วงการค้าเสรี ซื้อขายคล่อง ดอลลาร์ได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายในตลาดโลก ผู้ส่งออกและผู้นำเข้าก็มักเลือกใช้สกุลนี้ เนื่องจากทำให้การทำธุรกรรมกับลูกค้าและซัพพลายเออร์สะดวกขึ้น 

อย่างไรก็ตาม นโยบายตั้งภาษีปกป้องการค้าแบบ “America First” ซึ่งทำลายการค้าของสหรัฐ จะเร่งให้การใช้ดอลลาร์ในระดับโลกลดลง 

นอกจากนี้ การที่สหรัฐใช้ “นโยบายคว่ำบาตร” ที่เพิ่มมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งมีการคว่ำบาตร 912 ราย จนถึงปี 2021 ที่เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 9,400 ราย โดยเฉพาะการคว่ำบาตรรัสเซียในปี 2022 ได้สร้างความวิตกกังวลในหมู่ประเทศต่างๆ 

ประเทศเหล่านี้จึงมีแนวโน้มลดการพึ่งพาดอลลาร์ เนื่องจากหวั่นความเสี่ยงที่ทรัพย์สินของประเทศอาจถูกแช่แข็ง หรือสุ่มเสี่ยงถูกยึดคล้ายกรณีรัสเซีย หากขัดแย้งกับสหรัฐ 

ยิ่งไปกว่านั้น ในวาระที่สองของทรัมป์ ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐที่ขยายวงกว้างไปสู่ประเทศพันธมิตร ผ่านคำขู่ขึ้นภาษีและความต้องการผนวกแคนาดาและกรีนแลนด์ ก็ยิ่งหนุนให้ชาติต่าง ๆ หันไปใช้สกุลเงินทางเลือกอื่นมากขึ้น และแนวโน้มนี้อาจทำให้การครอบงำของดอลลาร์ในด้านการค้าและการเงินระหว่างประเทศเสื่อมถอยลง

กองหนี้ที่ถมสูงขึ้นเรื่อยๆ

ในปัจจุบัน “ปัญหาทางการคลังของสหรัฐ” อาจผลักดันให้ดอลลาร์ตกต่ำในอนาคตอันใกล้ โดยสำนักงบประมาณรัฐสภาสหรัฐ (CBO) ประเมินว่า หนี้สาธารณะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 99% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในปี 2024 เป็น 116% ในปี 2034, 139% ในปี 2044 และ 166% ในปี 2054 โดยเฉพาะการที่ทรัมป์ต้องการลดภาษีครั้งใหญ่ในประเทศ อาจทำให้ “หนี้” เมื่อเทียบกับแหล่งรายได้รัฐบาล เพิ่มขึ้นเร็วกว่าเดิม จนนักลงทุนอาจเริ่มตั้งคำถามในมูลค่าดอลลาร์

ยิ่งไปกว่านั้น ประธานาธิบดีผู้นี้มีแนวคิดที่ฉีกจากแนวปฏิบัติเดิม นั่นคือ ต้องการ “ยุบกรมสรรพากร” โดยจะหันไปเก็บภาษีจากต่างประเทศแทน ซึ่งหากมีการปฏิบัติจริง แหล่งรายได้ใหญ่จากภาษีเงินได้จะหายไป ในขณะการมุ่งขึ้นภาษีจากต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรก็ไม่ยกเว้น อาจเผชิญการโต้กลับตามมา

ความเป็นอิสระของเฟดถูกท้าทาย

สำหรับความน่าเชื่อถือของดอลลาร์นั้น ผูกกับ “ความเป็นอิสระของเฟด” จากอิทธิพลทางการเมือง

ไอเคนกรีนเตือนว่า การกระทำของรัฐบาลทรัมป์ โดยเฉพาะความพยายามเข้าควบคุม “หน่วยงานอิสระ” อย่างธนาคารกลางสหรัฐ อาจทำลายความเชื่อมั่นในดอลลาร์ โดยทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งบริหารที่กำหนดให้หน่วยงานอิสระ ต้องส่งข้อเสนอทางกฎระเบียบให้ทำเนียบขาวตรวจสอบ และยังท้าทายการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับหน่วยงานอิสระด้วย

หากนักลงทุนและตลาดโลกมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐสูญเสียความเป็นอิสระ และตกอยู่ภายใต้อิทธิพลทางการเมืองแล้ว ความเชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์อาจสั่นคลอน และสถานะสกุลเงินนี้อาจถูกท้าทาย

ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป

เมื่อเอ่ยถึงบทบาทนำของดอลลาร์ในเวทีโลก ไม่ได้อาศัยเพียงอำนาจทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นผลจาก “ความไว้วางใจ” ที่นานาประเทศมีต่อสหรัฐด้วย ซึ่งหากสหรัฐถูกมองว่า “หันหลังให้กับพันธมิตร” นั่นอาจทำลายสถานะของดอลลาร์

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา นานาประเทศมักสะสมสกุลเงินของพันธมิตรไว้ในคลังสำรอง ไม่ใช่เพียงเพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเชื่อมั่นและศรัทธา ดังเช่นในยุคสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ระหว่างกลุ่ม Triple Alliance (เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี) และกลุ่ม Triple Entente (ฝรั่งเศส อังกฤษ และรัสเซีย) ต่างถือครองสกุลเงินของฝ่ายตนเป็นทุนสำรอง การปฏิบัตินี้ได้แพร่หลายไปยังประเทศอื่น ๆ ที่มีข้อตกลงด้านความมั่นคงร่วมกัน

ในปัจจุบัน เยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเหล่าประเทศพันธมิตรสหรัฐ ได้ร่วมสนับสนุนสถานะเงินสากลของดอลลาร์ จากคุณค่าด้านพันธมิตรความมั่นคงกับสหรัฐ ซึ่งมีกองทัพสหรัฐประจำการในประเทศของตน ขณะเดียวกัน ประเทศเหล่านี้ก็ส่งทหารร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารอเมริกัน

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์กับประธานาธิบดีเซเลนสกีแห่งยูเครน และการที่สหรัฐหันไปใกล้ชิดรัสเซียแทน ได้ท้าทายความสัมพันธ์ทางพันธมิตรที่ผูกกับสถานะดอลลาร์

ด้วยเหตุนี้ หากสหรัฐถูกมองว่ากำลังห่างเหินจากพันธมิตร และไม่เป็น “ร่มเงาทางความมั่นคง” อีกต่อไป ประเทศเหล่านี้อาจสูญเสียความมั่นใจในการถือครองดอลลาร์ และอาจทำให้ฐานะสกุลเงินนี้อ่อนแอลง โดยเฉพาะเมื่ออีลอน มัสก์ได้สนับสนุนให้ปธน.ทรัมป์ พาสหรัฐ “ลาออกจากนาโต้” ซึ่งอนาคตดอลลาร์กำลังตกอยู่ในความเสี่ยง 
 

อ้างอิง: ftyahoocnn