สู่ยุค ‘Made in USA’ ไม้เรียวภาษีบีบต่างชาติ คุ้มหรือไม่กับ ‘ผลข้างเคียง’

สู่ยุค ‘Made in USA’ ไม้เรียวภาษีบีบต่างชาติ คุ้มหรือไม่กับ ‘ผลข้างเคียง’

เมื่อทรัมป์ต้องการให้อเมริกาเป็นฐานผลิตขนาดใหญ่ ภายใต้แนวคิด “Made in USA” เขาเลือกใช้ “ไม้เรียวภาษี” หวดบริษัทในต่างประเทศให้ย้ายฐานเข้ามา วิธีนี้คุ้มหรือไม่กับราคาของที่แพงขึ้น มิตรภาพที่เสียไป และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง

เปิดศักราชใหม่กับยุค “Made in USA” เมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ เปิด สงครามภาษี ทั่วโลก ขู่ว่าประเทศใดและบริษัทใดไม่ต้องการโดนภาษีให้ย้ายฐานไปที่สหรัฐแทน คำถามที่น่าสนใจ คือ ในการดึงดูดทุนต่างชาติด้วย “ไม้เรียว” เช่นนี้ คุ้มค่าหรือไม่กับ “ผลข้างเคียง” และในใจของทรัมป์ตามจริงแล้ว ต้องการอะไร

ในการดึงทุนต่างชาติให้ไหลเข้ามาในประเทศ โดยทั่วไปมักจะใช้ “ไม้นวม” อย่างเงินอุดหนุน สิทธิประโยชน์พิเศษต่าง ๆ อย่าง BOI ที่ไทยใช้ หรือในยุคไบเดนที่ออก CHIPS Act อุดหนุนเงินให้บริษัทชิปต่างชาติอย่าง TSMC และ Samsung ให้มาเปิดโรงงานในอเมริกา

เมื่อมาถึงยุคทรัมป์ ทรัมป์ มองว่าการให้เงินช่วยเหลือเหล่านี้ “สิ้นเปลืองงบประมาณ” และ “ไม่เร็วพอ” ในการกระตุ้นให้ย้ายฐาน ทรัมป์จึงเปลี่ยนใหม่ด้วยการใช้ “ไม้เรียว” แทน บีบบริษัทต่าง ๆ ด้วยภาษี ถ้าไม่ย้ายฐานก็เตรียมโดนภาษีสูงขึ้นเรื่อย ๆ และแน่นอนว่า หลายบริษัทก็ต้องการเข้า “ตลาดอเมริกา” เพราะใหญ่ที่สุดและครองสัดส่วนเกือบ 30% ของการใช้จ่ายทั้งโลก จึงยอมตั้งโรงงานในอเมริกา

ตัวอย่างบริษัทที่เข้ามาตั้ง เช่น TSMC เตรียมลงทุนในสหรัฐเพิ่มอีก 100,000 ล้านดอลลาร์ เพราะหวั่นทรัมป์ขู่เก็บภาษี 100% สำหรับชิปจากไต้หวัน ซึ่งจะทำให้ราคานำเข้าของโปรเซสเซอร์ขั้นสูง “สูงกว่า” ต้นทุนผลิตที่โรงงานบริษัทในรัฐแอริโซนาเสียอีก

นอกจากนี้ ยังมีบริษัท Apple, Nvidia, Microsoft, Hyundai Motor, Stellantis, GE Aerospace ฯลฯ วางแผนลงทุนในอเมริกาตามนโยบายทรัมป์ด้วย

ผลิต iPhone ในอเมริกา?

อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่งของเหรียญ ไม่ใช่ทุกบริษัทจะยอมย้ายเข้าไปอเมริกา เหตุผลอย่างแรกคือ “ต้นทุนแรงงาน” ค่าแรงขั้นต่ำของชาวอเมริกันอยู่ที่ราว 7.25-16 ดอลลาร์ (250-540 บาท)ต่อชั่วโมง

ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำของชาวจีนอยู่ที่ราว 16-26 หยวน (75-120 บาท) ต่อชั่วโมง นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมบริษัทอเมริกันถึงเลือกตั้งฐานในจีน อินเดีย และเวียดนามแทน 

ดังนั้น หากบริษัทอเมริกันย้ายฐานมาที่สหรัฐ “ต้นทุนที่สูงกว่า” ไม่ได้มีเฉพาะแรงงาน ยังมีต้นทุนด้านกฎระเบียบ ต้นทุนพลังงาน วัตถุดิบการผลิต จนอาจทำให้ต้นทุนธุรกิจโดยรวมสูงขึ้นหลายเท่า และผลข้างเคียงคือ ผู้บริโภคอเมริกันมีแนวโน้มได้ใช้สินค้าแพงขึ้น 

ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ ใฝ่ฝันลดการขาดดุล ส่งออกสินค้าสหรัฐไปต่างประเทศได้ง่ายขึ้น แต่การใช้วิธีบีบบริษัทอเมริกันให้ย้ายฐานมาที่สหรัฐ กลับจะทำให้ “ศักยภาพในการแข่งขันกับต่างประเทศ” ลดลง เพราะต้นทุนที่สูงขึ้น อีกทั้งการมี “กำแพงภาษี” ก็ยิ่งทำให้การนำเข้าวัตถุดิบต่างประเทศที่ถูกกว่า กลายเป็นแพงขึ้นแทน

สู่ยุค ‘Made in USA’ ไม้เรียวภาษีบีบต่างชาติ คุ้มหรือไม่กับ ‘ผลข้างเคียง’ - ทรัมป์ประกาศสงครามภาษีกับทั่วโลก (เครดิต: Reuters) -

ลงทุนหนักในอเมริกากับภาษีทรัมป์ 4 ปี

เหตุผลต่อมา คือ การลงทุนตั้งโรงงาน แต่ละครั้ง ใช้เงินทุนสูงมาก และค่าเสื่อมราคามักเป็น 10-30 ปี ดังนั้น การจะตั้งฐานในอเมริกา จึงต้องคิดให้ถี่ถ้วนว่าคุ้มค่าหรือไม่กับการลงทุน ภาษีทรัมป์นี้จะคงอยู่ถาวรหรืออยู่เพียง 4 ปีมากกว่า เพราะการเมืองอเมริกามักสลับขั้วระหว่างสองพรรค ซึ่งแนวนโยบายก็ฉีกแนวไปคนละขั้ว

ตัวอย่างธุรกิจที่ต้องวางระบบนิเวศใหม่ในระดับใหญ่ คือ “บริษัทผลิตยา” โดยสมาคมยาที่เข้าถึงได้ (Association for Accessible Medicines) ซึ่งเป็นกลุ่มล็อบบี้ด้านยาสามัญในวอชิงตันเตือนว่า ภาษีใหม่ของทรัมป์จะบีบอัตรากำไรของผู้ผลิตยา และทำให้การขาดแคลนยาที่มีปัญหาอยู่แล้วรุนแรงขึ้นไปอีก ซึ่งสหรัฐยังคง “ขาดระบบนิเวศ” ที่จะผลิตยาเหล่านั้นในราคาถูก อีกทั้งอัตรากำไรที่ต่ำมากของผู้ผลิตยาสามัญ จะกระตุ้นให้บริษัทยาขึ้นราคาในที่สุด และท้ายที่สุดก็กระทบที่ผู้บริโภค

ขณะเดียวกัน สภาหอการค้าจีนด้านยาเตือนว่า “ถ้าอเมริกาต้องการเลิกพึ่งพาเราเรื่องวัตถุดิบยา ก็ต้องใช้เวลา ‘อย่างน้อย 10 ปี’ เพื่อพัฒนาระบบการผลิตวัตถุดิบยาในประเทศขึ้นมาเอง” 

คุ้มหรือไม่กับผลข้างเคียงจากภาษี

ลำดับต่อมาในเหตุผลข้อที่สาม การเตรียม ขึ้นภาษี ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะชื่นชอบ “ไม้เรียว” นี้ ล่าสุด รัฐบาลจีน ออกคำสั่งให้บริษัทในประเทศพักการลงทุนในอเมริกา รวมถึงถอนเงินทุนออกมา เพื่อตอบโต้ภาษีที่หนักขึ้นเรื่อยๆโดย การลงทุนโดยตรงจากจีนแบบกรีนฟิลด์ (Greenfield FDI) ไปยังสหรัฐ “ลดลง” จาก 8,200 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 เหลือ 6,500 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว (Greenfield FDI คือ การที่บริษัทข้ามชาติลงทุนสร้างธุรกิจหรือโรงงานใหม่ตั้งแต่ต้นในประเทศปลายทาง แทนที่จะเข้าซื้อหรือร่วมทุนกับบริษัทที่มีอยู่แล้ว)

แทนที่จะพึ่งพาตลาดอเมริกา บริษัทจีนได้หันไปลงทุนในเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มประเทศซีกโลกใต้แทน

ไม่ใช่เฉพาะบริษัทจีนเท่านั้น แม้แต่มหามิตรอย่าง “ฝรั่งเศส” ก็เปลี่ยนไป ประธานาธิบดีฝรั่งเศสเรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ ในยุโรปถอนการลงทุนออกจากสหรัฐ โดยกล่าวว่า “แทบไม่มีเหตุผลเลยที่จะไปลงทุนในอเมริกา ในเมื่ออเมริกาเองกำลังปล่อยหมัดใส่ยุโรป”

นี่สะท้อนว่า การใช้ไม้เรียวอย่างภาษี ในอีกแง่หนึ่ง กลับทำให้สหรัฐ “ดูไม่เป็นมิตร” และส่งผลลบต่อความสัมพันธ์ทางการค้ากับทั่วโลก ซึ่งต่อไป หลายประเทศอาจมีแนวโน้มลดการพึ่งพาสินค้าจากสหรัฐลง และหันไปผลิตสินค้าของตัวเองแทน

ยังไม่นับรวม “สูตรคำนวณภาษีศุลกากร” ของทรัมป์ ที่ถูกหลายฝ่ายวิจารณ์ว่า ไม่ได้ตั้งอยู่ในหลัก “สมเหตุสมผล” และ “ข้อเท็จจริง” โดยทรัมป์ใช้ตัวเลข “ขาดดุลการค้า” หาร “การนำเข้า” 

เช่น สหรัฐขาดดุลจีน 291,900 ล้านดอลลาร์ หาร นำเข้าจากจีน 433,800 ล้านดอลลาร์ เท่ากับ 0.6728 หรือ “67%” ที่ทรัมป์อ้างว่าจีนเก็บภาษีจากสหรัฐในอัตราสูงเช่นนี้ ภาษีตอบโต้คือ ครึ่งหนึ่ง หรือ 34%

ในกรณี “ไทย” สหรัฐขาดดุลไทย 45,600 ล้านดอลลาร์ หาร นำเข้าจากไทย 63,300 ล้านดอลลาร์ เท่ากับ 0.72 หรือ “72%” ที่ทรัมป์กล่าวหาไทยว่าเก็บภาษีสินค้าสหรัฐ 72% จึงต้องโดนภาษีตอบโต้ที่ 36%

ถือเป็นสูตรคำนวณที่ไม่เคยเห็นในตำราใดมาก่อน โดยปกติ เวลาแต่ละประเทศใช้มาตรการภาษีศุลกากร จะละเอียดในระดับประเภทสินค้า รุ่นโมเดลสินค้า ถ้าเป็นสินค้าเกษตรก็จะเป็นการระบุถึงสายพันธุ์ พร้อมกรอบระยะเวลา เพื่อจำกัดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด และกดดันให้ตรงจุดมากที่สุด แต่การที่ทรัมป์เหวี่ยงแหภาษี “แบบเหมารวม” นั่นอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง และจำกัดความเสียหายได้ยาก

อันที่จริงแล้ว “วิธีดึงดูดการลงทุน” ไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการภาษีเป็นหลักอย่างเดียว ยังมีการให้เงินอุดหนุน การให้สิทธิประโยชน์ การลดระเบียบอุปสรรคการลงทุนต่าง ๆ ซึ่งแม้จะไม่รวดเร็วและรุนแรงในการกดดันเหมือนการขึ้นภาษี แต่ถือเป็นวิธีที่เป็นมิตร และยั่งยืนกว่าในระยะยาว 

อ้างอิง: dolstatistaFranceEconomistกรุงเทพธุรกิจ