‘บิล แอคแมน’ ชี้สหรัฐเสี่ยงเกิด 'สงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ' หากไม่ลดภาษี

‘บิล แอคแมน’ ชี้สหรัฐเสี่ยงเกิด 'สงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ' หากไม่ลดภาษี

‘บิล แอคแมน’ ชี้สหรัฐเสี่ยงเกิด ‘สงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ’ หากไม่ลดภาษีนำเข้าทันที เสนอ ‘เวลาหยุดพัก 90 วัน’ ให้ทรัมป์เจรจาคู่ค้า แก้ไขข้อตกลงภาษีที่ไม่ยุติธรรม

บิล แอคแมน” มหาเศรษฐีนักลงทุน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ ของ Pershing Square Capital Management ซึ่งเคยสนับสนุนการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ ในปี 2024 ได้ออกมาเตือนเมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า การเดินหน้าใช้นโยบายภาษีใหม่นี้เปรียบเสมือนการเริ่มต้น "สงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ" (economic nuclear winter) หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

‘บิล แอคแมน’ ชี้สหรัฐเสี่ยงเกิด \'สงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ\' หากไม่ลดภาษี

แอคแมนกล่าวว่า หากในวันที่ 9 เมษายน เราเริ่มต้นสงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจกับทุกประเทศทั่วโลก การลงทุนทางธุรกิจก็จะหยุดชะงัก ผู้บริโภคจะระมัดระวังการใช้จ่าย ถือเป็นการสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อสหรัฐในสายตาโลก ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีหรือหลายสิบปีในการฟื้นฟู

‘บิล แอคแมน’ ชี้สหรัฐเสี่ยงเกิด \'สงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ\' หากไม่ลดภาษี

“หากโดนัลด์ ทรัมป์ไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำเนินนโยบาย สหรัฐกำลังมุ่งหน้าสู่ economic nuclear winter หรือภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ที่เราสร้างขึ้นเอง และเราควรเริ่มเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้"

ขณะเดียวกัน แอคแมนตั้งคำถามว่าในสถานการณ์ที่เศรษฐกิจสั่นคลอนเหมือนเกิดสงครามนิวเคลียร์ทางเศรษฐกิจ จะมีซีอีโอ และคณะกรรมการบริษัทไหนกล้าตัดสินใจลงทุนระยะยาวครั้งใหญ่ในประเทศ พร้อมเสริมว่า ทรัมป์กำลังทำให้ผู้นำธุรกิจทั่วโลกขาดความเชื่อมั่น

เลือกทรัมป์ แต่ไม่ได้เลือก 'สงครามการค้า'

สงครามการค้าไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการ และรัฐบาลจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวทางเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เลวร้ายยิ่งกว่านี้

แอคแมน ระบุว่าภาษีนำเข้าใหม่ที่ทรัมป์จะเก็บนั้น "มหาศาล" และ "ไม่สมเหตุสมผล" พร้อมกล่าวว่า"นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราลงคะแนนเสียงให้ ซึ่งแอคแมนเสนอว่าควรมี "เวลาหยุดพัก" 90 วัน เพื่อให้ทรัมป์ได้คุยกับประเทศคู่ค้า และ "แก้ข้อตกลงภาษีที่ไม่แฟร์" ที่มีอยู่

ขณะนี้ ผลกระทบจากสงครามการค้าได้ส่งผลเสียอย่างมากต่อตลาดแล้ว โดยนับตั้งแต่มีการประกาศภาษีศุลกากร ดัชนี S&P 500 ร่วงลงมากกว่า 15% และขณะนี้ได้เข้าสู่ภาวะ “ตลาดหมี” แล้ว

"ผลที่ตามมาสำหรับประเทศของเรา และประชาชนนับล้านที่สนับสนุนประธานาธิบดี โดยเฉพาะผู้บริโภคที่มีรายได้น้อยซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างหนักอยู่แล้ว จะเป็นไปในทิศทางลบอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราลงคะแนนให้"

 

 

 

อ้างอิง Business Insider 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์