'เวิลด์แบงก์' หั่นจีดีพี 'ไทย' เหลือ 1.6% โตเกือบต่ำสุดในอาเซียน

'เวิลด์แบงก์' หั่นจีดีพี 'ไทย' เหลือ 1.6% โตเกือบต่ำสุดในอาเซียน

'เวิลด์แบงก์' หั่นคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.6% ต่ำสุดในอาเซียน รองแค่เมียนมาที่เกิดสงครามภายใน ผลพวงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนที่พุ่งสูง

ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) เปิดเผยรายงานอัปเดตแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับเดือนเม.ย.2025 โดยได้ปรับลดประมาณการ การเติบโตทางเศรษฐกิจของ "ประเทศไทย" ในปี 2568 เหลือเพียง 1.6% หรือลดลงมากถึง 1.3 จุดเปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่เพิ่งจะปรับขึ้นคาดการณ์จีดีพีของไทยไปอยู่ที่ 2.9% ในรายงานอัปเดตฉบับเดือนม.ค.2568

ส่วนในปีหน้า 2569 ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยลงมาเหลือ 1.8% ลดลง 0.9 จุดเปอร์เซ็นต์ จากเดิมที่ 2.7% ในคาดการณ์เดือนม.ค.

การปรับลดประมาณการจีดีพีของไทยในครั้งนี้ "ยังนับเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน" (ไม่รวมสิงคโปร์ และบรูไน ส่วนเมียนมาเป็นเคสเฉพาะที่เกิดสงครามกลางเมืองภายใน และแผ่นดินไหวรุนแรง) ขณะที่ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็เพิ่งปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้เหลือ 1.8% และปีหน้าเหลือ 1.6% 

ขณะที่ประเทศอื่นๆ มีอัตราการเติบโตในปี 2568 เมื่อเทียบกับรายงานฉบับเดือนม.ค.2568 ดังนี้

- จีน เติบโต 4.0% 
- เวียดนาม เติบโต  5.8%
- ฟิลิปปินส์ เติบโต  5.3%
- อินโดนีเซีย เติบโต 4.7%
- กัมพูชา เติบโต 4.0% จาก 
- มาเลเซีย เติบโต 3.9% จาก 
- สปป.ลาว เติบโต 3.5% จาก 
* - ไทย เติบโต 1.6%
- เมียนมา เติบโต -1.0%

\'เวิลด์แบงก์\' หั่นจีดีพี \'ไทย\' เหลือ 1.6% โตเกือบต่ำสุดในอาเซียน

World bank ยังปรับลดคาดการณ์จีดีพีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก (EAP) ลงมาอยู่ที่ 4.0% จากคาดการณ์ล่าสุดเดือนม.ค. ที่ 4.6% โดยระบุว่า การปรับลดจีดีพีมีขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ และความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการส่งออก และการลงทุน ซึ่งจากความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ความเสี่ยงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจก็ยังคงอยู่ในระดับสูงด้วย

อย่างไรก็ดี "แนวโน้มการเติบโตดังกล่าวอาจปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้อีก" ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับแนวโน้มการเติบโตในภาพรวม และอีกส่วนขึ้นอยู่กับนโยบายในการตอบสนองต่อความไม่แน่นอนของสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจโลกของแต่ละประเทศ 

ความไม่แน่นอนในเวทีโลก ระดับสากลที่เพิ่มมากขึ้นกำลังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งภาคธุรกิจ และผู้บริโภค ส่งผลให้การลงทุน และการบริโภคถูกจำกัด นอกจากนี้ การส่งออกของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ก็คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดทางการค้า ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลทำให้อุปสงค์ภายนอกประเทศยังคงลดลงต่อไป

มานูเอลา วี.เฟอโร รองประธานธนาคารโลกประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก กล่าวว่า “ในขณะที่ต้องหาทางรอดท่ามกลางโลกที่ผันผวน ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ก็ยังมีโอกาสที่จะรักษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้นได้โดยการลงทุน และรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ รวมถึงเพิ่มโอกาสทางธุรกิจผ่านการปฏิรูปอย่างจริงจัง และสร้างความร่วมมือระดับสากลในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ ทางธนาคารโลกได้เสนอแนะแนวทางการตอบสนองเชิงนโยบาย 3 ประการ ดังนี้

  1. การนำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะสามารถกระตุ้น "ผลิตภาพ"  ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการสร้างงานที่เพิ่มขึ้นมาใช้ ดังที่ "มาเลเซีย" และ "ไทย" ได้ดำเนินการไว้ 
  2. การปฏิรูปเพื่อยกระดับการแข่งขัน โดยเฉพาะในด้านการบริการ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ดังที่เห็นได้จากกรณีของ "เวียดนาม" 
  3. การพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมความแกร่งทางเศรษฐกิจได้

“การผสมผสานระหว่างการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ กับการปฏิรูปที่จริงจัง และความร่วมมือเชิงนวัตกรรมสามารถช่วยให้ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคสามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมในปัจจุบัน และความท้าทายในระยะยาวได้” อาดิตยา แมตทู หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ของธนาคารโลก กล่าว “นั่นคือ สูตรสำหรับการเพิ่มผลิตภาพ และการสร้างงานที่ดีขึ้นกว่าเดิม”

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์