สหรัฐ-จีน ใช้งบฯทหารมากสุดในโลกปี 61
งบประมาณทหารสหรัฐปี 2561 เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ผลพวงนโยบายรัฐบาลทรัมป์ จีนตามติดเป็นอันดับ 2 ทั่วโลกทุ่มใช้จ่ายทางทหาร 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ ไทยติดกลุ่มท็อป 40 คว้าอันดับ 3 อาเซียน
รายงานล่าสุดของสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศแห่งสตอกโฮล์ม (ซิปรี) เผยแพร่วานนี้ (29 เม.ย.) ระบุว่างบประมาณทหารทั่วโลกในปี 2561 เพิ่มขึ้น 2.6% มาอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน หนุนให้ค่าใช้จ่ายกลาโหมทะลุระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2531
นางออด์ โฟลรองต์ ผู้อำนวยการโครงการค่าใช้จ่ายด้านทหารและอาวุธของซิปรี อธิบายว่า การที่ค่าใช้จ่ายด้านทหารของสหรัฐเพิ่มขึ้น เป็นผลจากสหรัฐใช้โครงการจัดซื้ออาวุธใหม่ภายใต้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา
เฉพาะสหรัฐประเทศเดียวตัวเลขอยู่ที่ 6.49 แสนล้านดอลลาร์ มากพอๆ กับงบประมาณทหาร 8 ประเทศถัดไป ขณะที่ค่าใช้จ่ายทางทหารของจีนก็มากเช่นกัน สองประเทศนี้จึงเป็นตัวผลักดันให้ตัวเลขทั่วโลกสูงขึ้น
ค่าใช้จ่ายด้านการทหารของจีนเพิ่มขึ้น 83% นับตั้งแต่ปี 2552 อยู่ในตำแหน่งที่ 2 ตามด้วยซาอุดีอาระเบีย อินเดียที่กำลังปรับปรุงกองทัพให้ทันสมัย และฝรั่งเศส ค่าใช้จ่ายของ 5 ประเทศคิดเป็น 60% ของทั้งโลก ส่วนอันดับ 6-10 ได้แก่ รัสเซีย สหราชอาณาจักรเยอรมนี ญี่ปุ่น เกาหลีใต้
ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา จีนทุ่มงบทหารคิดเป็นสัดส่วน 1.9% ของจีดีพี ขณะที่รัสเซียหลุดท็อปไฟว์ งบทหารลดมาตั้งแต่ปี 2559 ผลจากถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตรตั้งแต่ปี 2557 กรณีความขัดแย้งในยูเครน กระทบต่องบประมาณกลาโหม
ส่วนงบทหารของยูเครนนั้น เพิ่มขึ้น 21% จากปี 2560 มาอยู่ที่ 4.8 พันล้านดอลลาร์
สำหรับประเทศไทย ซิปรีจัดให้อยู่ในกลุ่มท็อป 40 เมื่อปี 2560 อยู่ในอันดับ 31 ปี 2561 ขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 29 ใช้จ่ายด้านการทหาร 6.8 พันล้านดอลลาร์ นับจากปี 2552 ตัวเลขเพิ่มขึ้น 16%
หากเทียบกับสัดส่วนผลผลิตมวลรวมประชาชาติในประเทศ (จีดีพี) สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านการทหารของไทยลดลงจาก 1.8% ของจีดีพีเมื่อปี 2552 มาอยู่ที่ 1.3% ในปี 2561 ถ้าคิดเป็นสัดส่วนโลกไทยอยู่ที่ 0.4%
ในภูมิภาคอาเซียน ประเทศที่ติดกลุ่มท็อป 40 ประกอบด้วยสิงคโปร์ อันดับ 22 ใช้จ่าย 1.08 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 3.1% ของจีดีพี ตามด้วยอินโดนีเซีย อันดับ 26 ใช้จ่าย 7.4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 0.7% ของจีดีพี ตามด้วยไทย และเวียดนาม อันดับ 35 ตัวเลขอยู่ที่ 5.5 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.3% ของจีดีพี