สงครามการค้าหนุนโออีเอ็มจีนหันเจาะตลาดบ้านตัวเอง

สงครามการค้าหนุนโออีเอ็มจีนหันเจาะตลาดบ้านตัวเอง

อย่างไรก็ตาม การขายสินค้าผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซในประเทศก็ช่วยบรรเทาความบอบช้ำจากผลกระทบของสงครามการค้าได้ในระดับหนึ่ง

มัตสุเทคผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าให้แบรนด์ตะวันตกมานานนับสิบปี โดยลูกค้าของบริษัทคือบริษัทฟิลิป และฮันนีเวลล์ ที่จ้างโรงงานผลิตในจีนผลิตสินค้าและส่งออกไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐ และตลาดอื่นๆทั่วโลก ซึ่งการดำเนินกลยุทธรูปแบบนี้ช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จและเติบโตในฐานะผู้ผลิตหุ่นยนต์ดูดฝุ่นแบบสูญญากาศรายใหญ่สุดอันดับ2 ของโลก แต่ขณะนี้กลายเป็นว่า มัตสุเทค ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในไต้หวัน เป็นหนึ่งในบริษัทจำนวนมากที่บอบช้ำจากผลพวงการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยืดเยื้อ

ยอดขายผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆของมาสุเทคในสหรัฐร่วงลงอย่างหนักประมาณหนึ่งในห้าหลังจากรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีน25% บีบบังคับให้บริษัทต้องปิดสายการผลิต2 แห่งจาก11 แห่งที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน

อย่างไรก็ตาม มัตสุเทค เริ่มหมดความสนใจที่จะที่จะดำเนินธุรกิจกับสหรัฐหลังจากมีกรณีพิพาททางกฏหมายกับบริษัทคู่แข่งคือไอโรบอท คอร์ปเมื่อปี 2560 และการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของประธานาธิบดีทรัมป์ถือเป็นฟางเส้นสุดท้าย ในเดือนธันวาคม มัตสุเทค หันมาให้ความสำคัญกับเครื่องดูดฝุ่นแบบสูญญากาศแบรน์ของตัวเองที่ชื่อ“เจียเหว่ยชิ” โดยทำการตลาดบนทีมอลล์ของอาลีบาบาและบนแพลทฟอร์มอี-คอมเมิร์ซของพินตัวตัว

แม้ว่าแบรนด์นี้จะเพิ่งถือกำเนิดเมื่อปี 2558 แต่มัตสุเทค ก็ไม่ต้องเหนื่อยมากกับการทำการตลาดสินค้าทั้งยังไม่ต้องเจอผลกระทบจากการทำสงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างสหรัฐและจีนด้วย

“นี่คือช่วงที่เราถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน เราตระหนักถึงความจริงที่ว่าต่อไปนี้เราจะพึ่งพาตลาดต่างประเทศอย่างเดียวไม่ได้แล้ว เราควรสร้างแบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จักในตลาดจีนด้วย ”เทอร์รี อู๋ ผู้จัดการทั่วไปของมัตสุเทคในเสิ้นเจิ้น กล่าว

สงครามการค้าที่เกิดขึ้นในขณะนี้ คือจุดเปลี่ยนสำหรับผู้รับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทที่จะไปขายในแบรนด์ต่าง ๆ(โออีเอ็ม) ซึ่งจัดหาผลิตภัณฑ์ต่างๆให้กับบริษัทตะวันตกที่จะนำไปติดแบรนด์ของตัวเองและจำหน่ายต่อไป และนี่คือจุดที่ทำให้จีนมีชื่อเสียงในฐานะเป็นโรงงานผลิตสินค้าของโลก

สำหรับบริษัทบางแห่งอย่างมัตสุเทค สงครามการค้าที่เกิดขึ้นทำให้บริษัทต้องปรับกลยุทธใหม่และเป็นการปรับกลยุทธครั้งสำคัญ ขณะที่บริษัทอื่นๆที่เผชิญชะตากรรมแบบเดียวกัน ก็หันมาพัฒนาแบรนด์ที่พุ่งเป้าไปที่ผู้บริโภคชาวจีนเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้บริษัทจีนที่รับจ้างผลิตอย่างเดียวต้องเพิ่มความพยายามมากขึ้นเพื่อให้สินค้าของตนเองขายได้ดีในหมู่ชาวจีนด้วยกัน

“การเป็นโออีเอ็มมานาน ทำให้เราไม่ทะเยอทะยาน แต่เมื่อสงครามการค้าบีบบังคับ เราต้องปรับตัวและสร้างแบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับ โดยจำหน่ายในราคาที่ถูกลงหน่อย และเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเทียบเท่าแบรนด์ต่างประเทศ” อู๋ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว บริษัทจีนหลายแห่งเตรียมพัฒนาแบรนด์ของตนเองให้ดีกว่านี้และคาดหวังว่าจะทำให้แบรนด์จีนสามารถแข่งขันกับบริษัทต่างชาติที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดังระดับโลกได้

“บรรดาบริษัทจีนที่เคยเป็นหุ้นส่วนธุรกิจและเป็นซัพพลายเออร์จะก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่ง และบรรดาแบรนด์ชั้นนำในตลาดจีนจะอยู่เฉยไม่ได้ ต้องเร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับเกมการแข่งขันนี้”เจสัน ติง หุ้นส่วนของบริษัทเบนแอนด์ คัมพานี บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด กล่าว

อันฮุย เดลิ ผู้ผลิตแก้วไวน์และผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆที่ทำจากแก้ว และมีรายได้ต่อปีที่ 113 ล้านดอลลาร์ ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการภาษีของรัฐบาลสหรัฐ

“ตลาดสหรัฐคือตลาดหลักของเราจนกระทั่งปีนี้ที่สงครามการค้ารุนแรงขึ้นมาก ลูกค้าของเราลังเลที่จะสั่งสินค้า และมีการระงับออร์เดอร์สินค้าจากสหรัฐจำนวนมาก ”เฉิง หยิงหลิง ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดของบริษัทผลิตแก้วไวน์จีน กล่าว พร้อมทั้งเสริมว่า การเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐที่มีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายนนี้ จะทำให้ผลิตภัณฑ์ทำจากแก้วของจีนถูกเก็บภาษีในอัตรา 40% ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม การขายสินค้าผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซในประเทศก็ช่วยบรรเทาความบอบช้ำจากผลกระทบของสงครามการค้าได้ในระดับหนึ่ง โดยการจับมือกับพินตัวตัวเมื่อไม่นานมานี้ ช่วยให้ยอดขายแก้วบรรจุน้ำแข็งเพิ่มขึ้นเดือนละกว่า 50,000 ใบ เพิ่มขึ้นกว่าสามเท่าเมื่อขายผ่านทางหน้าร้าน

ด้วยเหตุผลนี้ บริษัทจึงตัดสินใจเปิดโรงงานผลิตในปากีสถาน โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนม.ค.ปีหน้า แต่การขนส่งผลผลิตไปยังประเทศอื่นต้องใช้เวลาและมีความเสี่ยงสูงที่สินค้าจะเสียหาย ซึ่งเป็นโจทย์ที่บริษัทผลิตแก้วของจีนต้องกลับไปคิดให้ได้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างไร