แรงบันดาลใจจาก 'นักวิ่งมาราธอนรอบโลก'

งานวิ่งมาราธอนในกรุงเอเธนส์ของกรีซเมื่อเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา มีนักวิ่งเกือบ 17,000 คนมาเข้าร่วม แต่ไม่มีใครที่มีเส้นทางชีวิตเหมือนกับบุรุษที่ชื่อ “นิค บัตเตอร์”

การแข่งขันที่แท้จริงของบัตเตอร์เริ่มขึ้นเมื่อ 674 วันก่อนหน้านี้ ท่ามกลางสภาพอากาศหนาว -25 องศาเซลเซียสในเมืองโตรอนโตของแคนาดา ขณะที่การร่วมวิ่งมาราธอนในกรุงเอเธนส์ซึ่งเป็นที่หมายสุดท้ายของเขาในความพยายามที่จะวิ่งมาราธอนให้ครบ 196 ประเทศทั่วโลก ก็ถือเป็นการเข้าเส้นชัยอย่างสมบูรณ์แบบ

สิ่งที่เขาเผชิญมาตั้งแต่การวิ่งมาราธอนรายการแรกจนถึงรายการสุดท้ายนั้น หนักหนาสาหัสมากพอที่จะบดขยี้จิตใจของนักวิ่งที่อึดที่สุดได้ หรือไม่ก็เป็นการทดสอบปฏิภาณไหวพริบของนักผจญภัยที่ห้าวหาญที่สุด

“เรามีเวลามากแค่ไหนที่จะคุยเรื่องประสบการณ์เลวร้ายต่าง ๆ ในทริปนี้” บัตเตอร์ หนุ่มอังกฤษวัย 30 ปี ถามผู้สื่อข่าวของเว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น สปอร์ต ขณะย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ไม่ถึงสัปดาห์หลังจบการแข่งมาราธอนในกรีซ

ตัวเลขเบื้องหลังความสำเร็จที่ไม่มีใครเหมือนนี้ถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว และบัตเตอร์ก็สามารถเล่าทุกรายละเอียดเสมือนกับเด็กนักเรียนท่องแม่สูตรคูณ

บัตเตอร์บอกว่า ภารกิจของเขาประกอบด้วยเที่ยวบินกลับบ้านเกิดในอังกฤษ 455 เที่ยวที่พ่อของเขาอุตส่าห์จองให้ รวมถึงวีซ่า 120 วีซ่า หนังสือเดินทาง 10 เล่ม และจำนวนก้าวจากการวิ่งรวม 10 ล้านก้าว เขาจบการวิ่งมาราธอน 22 ครั้งด้วยอาการอาหารเป็นพิษ, 4 ครั้งมีภาวะไตติดเชื้อ, 101 ครั้งไม่มีอะไรตกถึงท้อง และเอาตัวรอดจาก 320 วันที่ปราศจากยาแก้ปวด

“เรื่องเลวร้ายของการผจญภัยนี้ค่อนข้างสุดขั้วทีเดียว” บัตเตอร์ซึ่งลาออกจากตำแหน่งนายธนาคารเมื่อ 4 ปีที่แล้วเพื่อมาทุ่มเทวางแผนการทำลายสถิติวิ่งมาราธอนนี้ เผย “ตั้งแต่ถูกสุนัขไล่กัด ถูกจี้ชิงทรัพย์ในไนจีเรีย ถูกรถชนจนกระดูกข้อศอกหัก แต่จริง ๆ แล้ว อาการเจ็บป่วยต่างหากที่สร้างความลำบากมากที่สุด”

บัตเตอร์เล่าว่า ช่วงที่เจอกับอาการอาหารเป็นพิษหรือไตติดเชื้อ นั่นเป็นตอนที่ร่างกายต้องการเลิกทำทุกอย่างและได้แต่บอกกับตัวเองว่า “ฉันต้องหายให้ได้” แต่สุดท้ายก็หายไม่ทัน

“ในบังกลาเทศ ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมากจนถึงกับอาเจียนไปประมาณ 20 รอบระหว่างวิ่ง”

• เสียใจ-ฉุนเฉียว-ผิดหวัง

นอกจากอาการเจ็บป่วยเกี่ยวกับท้องไส้แล้ว บัตเตอร์บอกว่า ความท้าทายเกี่ยวกับมุมมองต่อการวิ่งก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่ง ในขณะที่เขาต้องรักษาความฟิตของร่างกายให้สามารถวิ่งมาราธอน 2-3 รายการต่อสัปดาห์

สิ่งที่ยากลำบากเป็นพิเศษคือการเดินทางจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่งภายในตารางเวลาที่กำหนดไว้

“ผมไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายความยากลำบากนี้อย่างไรดี” บัตเตอร์กล่าว “ผมต่อสายคุยกับพ่อหลายครั้งและพ่อบอกผมว่า เขาไม่คิดว่าผมจะทำสำเร็จและไม่คิดว่าผมจะเดินทางข้ามประเทศเพื่อแข่งอีกรายการได้ทันเวลา ด้วยจำนวนเงินที่เรามีอยู่ในตอนนั้น”

นอกจากนี้ เขาบอกว่า ระหว่างนั้นยังมีเรื่องชวนหัวเสีย เสียใจ และผิดหวังอีกหลายครั้ง

“ถ้าคุณถามผม 3 สัปดาห์ก่อนแข่งรายการสุดท้ายว่า คิดว่าจะทำสำเร็จในกรุงเอเธนส์หรือเปล่า ผมคงตอบด้วยความมั่นใจ 95% ว่า ไม่สำเร็จแน่นอน”

• ภัยจากสุนัขดุ

หากคิดว่าการเดินทางให้ครบทุกประเทศเป็นเรื่องท้าทายแล้ว การหาเส้นทางวิ่งอันราบรื่นปราศจากสิ่งรบกวนก็ถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

บ่อยครั้ง เป็นเรื่องของรอบการวิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ได้แก่ 82 รอบในนครวาติกัน, 104 รอบที่พักของเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงคิงส์ตันของจาเมกา และ 105 รอบภายในสนามกีฬาในกรุงดามัสกัสของซีเรีย

ส่วนครั้งที่จำนวนรอบมากที่สุดคือ 335 รอบที่ลานจอดรถของโรงแรมแห่งหนึ่งในสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่การวิ่งแข่งกับคนอื่น แต่เป็นการวิ่งหนีคมเขี้ยวของฝูงสุนัขจรจัด

“เราไม่ได้คาดคิดว่าสุนัขจะสร้างปัญหา แต่สุนัขก็กลายเป็นความหายนะในชีวิตของผมจนได้” บัตเตอร์เผย “หลังเหตุการณ์ถูกสุนัขกัดในตูนิเซีย ผมก็ตระหนักได้ว่าถ้าพวกมันขย้ำเอ็นร้อยหวายของผมหรือบริเวณข้อเท้า แผนวิ่งรอบโลกของผมคงจบเห่ไปแล้ว”

หนุ่มนักวิ่งมาราธอนบอกด้วยว่า เมื่อเขาเช็คอินเข้าพักโรงแรมในหมู่เกาะมาร์แชลล์ พนักงานก็ให้กุญแจห้องพร้อมกับไม้ 1 อันและบอกว่า “ถ้าคุณออกไปข้างนอก คุณจะต้องใช้ไม้” บนเกาะแห่งนี้เกิดวิกฤติเบาหวานครั้งใหญ่ ผู้คนไม่ค่อยออกมาเดินข้างนอก เพราะสุนัขที่นี่ดุมาก

“ผมเจอสุนัขตัวใหญ่พวกนี้ล้อมรอบทิศผมจึงหันหลังและวิ่งไปที่ลานจอดรถของโรงแรมซึ่งยาวประมาณ 120 เมตร และเป็นการวิ่งวนเป็นวงกลม 335 รอบลานจอดรถ ยังสยองไม่หาย”

บัตเตอร์ยกตัวอย่าง 15 ประเทศที่เขาประสบปัญหาก่อนเดินทางกลับ รวมถึงอิหร่านอัฟกานิสถานโซมาเลียเยเมนซีเรียลิเบีย และยังเล่าย้อนถึงตอนที่เขาข้ามสิ่งกีดขวางบริเวณพรมแดนซีเรีย-เลบานอน ซึ่งมีคนจำนวนมากถูกฆ่าไม่กี่วันก่อนเขาเดินทางผ่าน

นอกจากนี้ เขายังเจอกับอุณหภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้ว ตั้งแต่สวมเสื้อผ้าหนา 6 ชั้นเพื่อร่วมวิ่งครั้งแรกในเมืองโตรอนโต และต่อสู้กับอากาศร้อน 60 องศาเซลเซียสในคูเวตซึ่งเขาต้องดื่มน้ำถึง 9 ลิตรครึ่งระหว่างวิ่ง

เรื่องอาหารก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งเช่นกัน บัตเตอร์บอกว่า เขาอยู่ 35 วันโดยไม่รับประทานอะไรเลยขณะลงแข่งมาราธอน และพบว่าน้ำหนักลดลง 11 กิโลกรัมในช่วง 2 สัปดาห์แรกของรายการวิ่งในแอฟริกา ก่อนที่เขาจะเพิ่มน้ำหนักกลับมาได้ด้วยการเบิ้ลอาหารบนเครื่องบิน แม้ว่าเขาจะไม่ชอบมันมากก็ตาม

• เป้าหมายต่อไป

หากไม่นับรายการวิ่งมาราธอนที่มีเพื่อน ๆ จากอังกฤษมาร่วมแจม บัตเตอร์สามารถจบการแข่งขันด้วยตัวคนเดียวเป็นส่วนใหญ่

อย่างไรก็ดี เขายังได้เพื่อนใหม่ระหว่างทางเช่นกัน ในรายการที่ได้รับการสนับสนุนโดยกระทรวงกีฬาของเอลซัลวาดอร์ มีกลุ่มนักวิ่งราว 1,000 คนซึ่งประกอบด้วยเด็กนักเรียนและนักวิ่งเจ้าถิ่น มาร่วมวิ่งกับบัตเตอร์ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีจาก 9 ประเทศมาวิ่งกับเขาเช่นกัน และระหว่างทริปเดินสายวิ่งรอบโลก เขาได้เบอร์ติดต่อเพื่อนใหม่ถึง 2,500 คนเลยทีเดียว

บัตเตอร์มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขาตั้งเป้าวิ่งมาราธอนให้ครบทุกประเทศ นั่นคือ เควิน เว็บเบอร์ ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย และในรายการที่กรุงเอเธนส์ สองเพื่อนซี้ยังวิ่งจับมือเข้าเส้นชัยพร้อมกัน

- นิค บัตเตอร์ และ เควิน เว็บเบอร์ (ขวา) เพื่อนซี้ผู้เป็นแรงบันดาลใจให้บัตเตอร์วิ่งเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยมะเร็ง -

จนถึงขณะนี้ บัตเตอร์ระดมเงินบริจาคได้ 120,000 ปอนด์ หรือประมาณ 4.7 ล้านบาทให้กับมูลนิธิมะเร็งต่อมลูกหมากของอังกฤษ เงินส่วนนี้จะถูกนำไปใช้กับโครงการคัดกรองผู้ป่วยมะเร็งแห่งชาติและเขาหวังว่าจะบรรลุเป้าระดมเงินบริจาค250,000 ปอนด์ หรือราว 9.82 ล้านบาท

ปัจจุบัน หนุ่มอังกฤษรายนี้จะเดินสายเป็นวิทยากรตามโรงเรียนและสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศอังกฤษและยุโรป โดยบัตเตอร์ได้ขายบ้านและนำเงินไปซื้อรถบ้านคันใหม่ เขาหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่นผ่านการเล่าประสบการณ์อันยากลำบากและบทเรียนทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้

อย่างไรก็ตาม ไฟในการวิ่งของเขายังไม่หมด บัตเตอร์ยังต้องการทำลายสถิติวิ่งรอบไอซ์แลนด์ระยะทาง 1,609 กิโลเมตรให้ได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า เขาจะไม่กลับไปทำงานแบงก์อีกในเร็ว ๆ นี้

ไม่ว่าจะทำสถิตินั้นสำเร็จหรือไม่ นักวิ่งมาราธอนรอบโลกคนนี้คงมีความสุขกับการได้ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของเขาให้คนอื่น ๆ และคงเป็นความสุขที่จะอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต

-----

เครดิตรูป : CNN