'COVID-19' ระบาดเอเชีย จุดชนวนขัดแย้งการเมือง
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในขณะนี้ กำลังจุดชนวนความขัดแย้งทางการเมืองแก่ประเทศคู่กรณีหลายคู่
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในขณะนี้ กำลังจุดชนวนความขัดแย้งทางการเมืองแก่ประเทศคู่กรณีหลายคู่ ซึ่งหากไม่รีบเคลียร์ ความบาดหมางอาจบานปลายจนเกินจะเยียวยาหรือฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาดีเหมือนเดิม
เริ่มจากคู่กรณีเก่าแก่จากกรณีพิพาททางการค้าระหว่างกันอย่าง "สหรัฐ" และ "จีน" ที่ล่าสุด สมาคมผู้สื่อข่าวจีน ออกแถลงการณ์ประณามสหรัฐกรณีสั่งลดจำนวนนักข่าวจีนในสหรัฐ โดยสมาคมผู้สื่อข่าวจีนได้ออกแถลงการณ์ทั้งประณามและต่อต้านสหรัฐที่สั่งให้ลดจำนวนผู้สื่อข่าวจีนที่ทำงานอยู่ในสหรัฐ
สมาคมฯระบุว่า ความเคลื่อนไหวของสหรัฐถือเป็นการผลักไสผู้สื่อข่าวจีนอย่างแท้จริง และชี้ว่า การกระทำต่าง ๆ ละเมิดสิทธิทางกฎหมายและผลประโยชน์ของผู้สื่อข่าวชาวจีน ที่ทำหน้าที่นำเสนอข่าวในต่างประเทศ ตลอดจนสร้างความเสียหายให้กับชื่อเสียงของสื่อและผู้สื่อข่าวจีน ทั้งยังเป็นการแทรกแซงการทำงานของผู้สื่อข่าวเหล่านี้ในต่างประเทศด้วย
คู่กรณีที่สอง คือรัฐบาล "เกาหลีใต้" ที่แสดงความผิดหวังที่ญี่ปุ่นสั่งแบนนักท่องเที่ยว โดยกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้กล่าวในนามรัฐบาลว่า รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งต่อการที่ "ญี่ปุ่น" สั่งห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้เข้าประเทศ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ ระบุว่า มาตรการดังกล่าว “ไร้เหตุผลและแย่เกินกว่าจะยอมรับได้” พร้อมทั้งเรียกร้องให้ญี่ปุ่นทบทวนมาตรการดังกล่าวอีกครั้ง โดยระบุว่า เกาหลีใต้จะใช้มาตรการตอบโต้ญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน เช่น เพิ่มระดับคำเตือนการเดินทางมายังญี่ปุ่น เป็นต้น
การไม่พอใจอย่างรุนแรงของทางการเกาหลีใต้ครั้งนี้ มีขึ้นหลังจากญี่ปุ่น ประกาศให้นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และจีนกักตัวเองอยู่ในที่พักเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ นอกจากนี้ ยังเพิกถอนวีซ่านักท่องเที่ยวที่มาจากสองประเทศนี้ด้วย
"โช เซ ยัง" รมช.ต่างประเทศของเกาหลีใต้ วางแผนที่จะเรียก "โคจิ โทมิตะ" ทูตญี่ปุ่นประจำเกาหลีใต้เข้าพบ เพื่อเป็นการประท้วงมาตรการดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ ระบุว่า ขณะนี้มีประเทศและเขตปกครองพิเศษทั่วโลกจำนวนรวม 96 แห่งมีคำสั่งห้าม หรือคุมเข้มผู้ที่เดินทางจากเกาหลีใต้
ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยหลายประเทศ เช่น "สิงคโปร์" และ "ฮ่องกง" ออกคำสั่งห้ามเข้าประเทศต่อผู้ที่ได้เดินทางไปยังเกาหลีใต้ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ส่วนบางประเทศ เช่น "ญี่ปุ่น" ออกคำสั่งห้ามเข้าประเทศต่อผู้ที่ได้เดินทางมาจากเมืองแทกูของเกาหลีใต้ ซึ่งมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
นอกจากนี้ "นิวซีแลนด์" และ "เวียดนาม" ก็มีคำสั่งกักตัวผู้ที่เดินทางจากเกาหลีใต้ ส่วนจีน ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของโรคโควิด-19 ล่าสุดรัฐบาลท้องถิ่นของ 16 เมือง ซึ่งรวมถึง เซี่ยงไฮ้ และ ปักกิ่ง ได้ใช้มาตรการการกักกันโรคที่เข้มงวด ด้วยการกักตัวนักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้ รวมถึงประเทศในกลุ่มเสี่ยงไว้ในสถานที่ที่รัฐบาลท้องถิ่นของจีนจัดเอาไว้ให้ เพื่อเฝ้าดูและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ในส่วนของรัฐบาลเกาหลีใต้ ไม่ได้นิ่งนอนใจเกี่ยวกับปัญหานี้ ประกาศตั้ง “เขตดูแลพิเศษ” รอบเมืองที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างรุนแรง โดยได้จัดตั้งเขตดูแลพิเศษรอบเมืองคย็องซัง ซึ่งมีประชากรประมาณ 275,000 คน ห่างจากกรุงโซลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 250 กิโลเมตร พร้อมสนับสนุนหน้ากากอนามัยเพิ่มพิเศษและเตือนประชาชนไม่ให้เดินทางไปที่นั่น
เมืองคย็องซัง มีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแม้แต่ในสถานดูแลผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังมีการประกาศคล้ายกันในบริเวณรอบเมืองแทกูและเมืองชองโดเช่นกัน
ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของเกาหลี (เคซีดีซี) รายงานวานนี้ (6มี.ค.) ว่า พบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่มอีก 518 ราย ส่งผลให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 6,284 ราย ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตรวมอยู่ที่ 42 ราย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์แพร่ระบาดในเกาหลีใต้ขณะนี้ถือว่ารุนแรงมาก และ “ฮง นัม กี” รัฐมนตรีคลังเกาหลีใต้ ยอมรับว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 อาจส่งผลกระทบต่อภาคการค้าและการลงทุน
ระหว่างการประชุมร่วมกับรัฐมนตรีจากกระทรวงอื่น ๆ ฮง กล่าวว่า
“อุปสรรคเริ่มก่อตัวมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง อาทิ การอุปโภคบริโภคในท้องถิ่น การผลิต และการส่งออก เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้โภคและธุรกิจอ่อนแอลง หลังจากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19”
นอกจากนี้ การที่หลายประเทศสั่งห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้เข้าประเทศ ก็ยิ่งเป็นอุปสรรคต่อภาคธุรกิจ การค้า และการลงทุนที่นอกเหนือจากความไม่พอใจที่อาจจุดชนวนไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศได้