วอลล์สตรีทใช้ Circuit Breaker หลังดาวโจนส์ดิ่งเหว 7.2%
ตลาดหุ้นสหรัฐพักการซื้อขาย หรือ “Circuit Breaker” ครั้งที่ 2 ในสัปดาห์เดียว หลังดาวโจนส์เปิดการซื้อขายวันพฤหัสบดี (12 มี.ค.) ร่วงแรงกว่า 7% ผลจากวิกฤติโควิด-19 ระบาด แต่หลังจากกลับมาซื้อขายกันใหม่ ร่วงหนักกว่าเดิมถึงกว่า 8%
ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในนครนิวยอร์ก ประกาศพักการซื้อขายเป็นเวลา 15 นาที หลังกระดานหุ้นแดงยกแผงเมื่อเปิดการซื้อขายเช้าวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น
ดัชนีดาวโจนส์เปิดร่วง 7.2% แตะที่ 21,856.91 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ดิ่ง 7.0% และดัชนีแนสแด็ก ดิ่ง 7.0% มาอยู่ที่ 7,393.25 จุด
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลับมาซื้อขายอีกรอบเพียง 25 นาที หุ้นสหรัฐกลับร่วงหนักกว่าเดิม ดัชนีดาวโจนส์ดิ่งเหวกว่า 2,000 จุด หรือ 8.7% แตะ 21,505.07 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วง 8.1% แตะ 2,519.43 จุด และดัชนีแนสแด็กลดลง 7.9% แตะ 7,323.31 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐใช้ระบบ Circuit Breaker เป็นครั้งที่ 2 ในรอบสัปดาห์ หลังจากเมื่อวันจันทร์ (9 มี.ค.) ได้ประกาศพักการซื้อขาย 15 นาที หลังเปิดตลาดเพียง 5 นาที เนื่องจากดัชนีดาวโจนส์ดิ่งลงกว่า 1,800 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 ทรุดตัวลง 7% ส่งผลให้ตลาดต้องตัดสินใจใช้ระบบ Circuit Breaker เพื่อระงับการซื้อขายชั่วคราว
ทั้งนี้ ตามกฎระเบียบของวอลล์สตรีท จะมีการใช้ circuit breaker ใน 3 กรณี ดังนี้
1. หากดัชนีเอสแอนด์พี 500 ติดลบ 7% จะมีการระงับการซื้อขายเป็นเวลา 15 นาที
2. หากดัชนีเอสแอนด์พี 500 ติดลบ 13% จะมีการระงับการซื้อขายต่อไปอีก 15 นาที
3. หากดัชนีเอสแอนด์พี 500 ติดลบ 20% จะมีการระงับการซื้อขายตลอดทั้งวัน