แบกไม่ไหว! 'แมริออท' นำเชนโรงแรมดัง ลดพนักงานหลังรายได้ดิ่ง
แมริออท และเจ้าของเชนโรงแรมดังระดับโลกอีกหลายแห่ง พร้อมใจลดพนักงาน เพื่อความอยู่รอด หลังยอดจองห้องพักในโรงแรมทรุดหนักจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ ต้นตอโรคโควิด-19
ขณะซีอีโอแมริออท ระบุว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก่อผลกระทบต่อธุรกิจรุนแรงกว่าเหตุโจมตี 9/11 และวิกฤติการเงินรวมกัน
แมริออท อินเตอร์เนชันแนล อิงค์ เครือข่ายโรงแรมขนาดใหญ่สุดของโลก และบรรดาเจ้าของโรงแรมชั้นนำรายอื่นๆ กำลังจัดทำแผนลดจำนวนพนักงานจำนวนหลายพันคนเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอดในช่วงที่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระบาดหนัก จนส่งผลให้จำนวนผู้เข้ามาพักในโรงแรมลดลงอย่างมาก ขณะที่ฮิลตัน เวิลด์ไวด์ โฮลดิงส์ อิงค์ และไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ป ก็กำลังปรับลดจำนวนพนักงานในสังกัดเช่นกัน
โฆษกหญิงของแมริออท ยืนยันกับวอลสตรีท เจอร์นัลว่า กำลังลดพนักงานประมาณ2ใน3ของพนักงานที่มีอยู่ทั้งหมดที่สำนักงานใหญ่ในสหรัฐจำนวน 4,000 คน และมีแผนลดพนักงานในต่างประเทศลงประมาณ 2 ใน 3 แต่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงตัวเลขที่แน่ชัดของพนักงานในต่างประเทศที่จะถูกปลดออกจากงาน บอกแต่เพียงว่า พนักงานที่ถูกปลดจากงานครั้งนี้ ครอบคลุมหลายแผนก ตั้งแต่พนักงานระดับผู้จัดการ ไปจนถึงพนักงานระดับแม่บ้านทำความสะอาด ขณะที่โรงแรมจำนวนมากทั่วโลกพากันปิดกิจการเพราะผลพวงจากการระบาดของโรคโควิด-19
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมภาคบริการได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการคุมเข้มด้านการเดินทางของประเทศต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด ภาคธุรกิจระงับการเดินทางเพื่อทำธุรกิจเป็นการชั่วคราว บรรดาผู้จัดงานอีเวนท์พากันยกเลิกการประชุมเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ส่วนนักท่องเที่ยวก็พากันระงับแผนท่องเท่ี่ยวตามจุดหมายปลายทางต่างๆไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัย สิ่งต่างๆที่กล่าวมาทั้งหมด ทำให้เม็ดเงินมหาศาลที่ธุรกิจโรงแรมเคยได้รับ หายไปจนหมด ทำให้ต้องหาทางเอาตัวรอดด้วยการลดต้นทุน ซึ่งแน่นอนว่าเป้าหมายอันดับแรกที่ผู้บริหารโรงแรมเลือกลดคือ ต้นทุนด้านแรงงาน
ขณะที่อีไอยู หน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจของนิตยสารดิ อีโคโนมิสต์ ในอังกฤษ ออกรายงานคาดการณ์ว่า กว่าการท่องเที่ยวต่างประเทศของจีนจะกลับไปสู่ระดับก่อนไวรัสระบาดต้องรอจนถึงไตรมาสสองของปีหน้า และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคืออาเซียน เนื่องจากอยู่ใน 20 อันดับจุดหมายท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวจีน และภูมิภาคนี้จะสูญเสียรายได้ประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือเกือบหนึ่งในสิบของการสูญเสียทั้งโลก เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนจะหายไปประมาณ 30-40% ขณะที่ยุโรปและสหรัฐ ได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากชาวจีนครองสัดส่วนนักท่องเที่ยวแค่ 4% เท่านั้น
ฟอร์เวิร์ดคีย์ส บริษัทข้อมูลและแนวโน้มอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ระบุว่า นับจนถึงวันที่ 26 ม.ค. ยอดจองเที่ยวบินออกจากจีนไปต่างประเทศช่วงวันที่ 21ม.ค.ถึง 17 ก.พ.ลดลง 13.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยอดจองเดือนมี.ค.และเม.ย.หายไปกว่าครึ่ง ปกติแล้วชาวจีนมักเดินทางกันอย่างคึกคักช่วงหลังตรุษจีน แต่ตอนนี้ไม่มีการวางแผนเดินทางแต่อย่างใด ถือเป็นปัญหาหนักที่สุดของอุตสาหกรรมนี้
ขณะที่ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ)เครือโรงแรมฮิลตัน คาดการณ์ว่า ธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบนาน 6-12 เดือน
มอนตี้ เบนเน็ต ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) แอชฟอร์ด อิงค์ บริษัทที่มีฐานดำเนินงานในดัลลัส และเป็นเจ้าของโรงแรม 130 แห่งทั่วสหรัฐ ประกาศปลดพนักงาน 95% ของพนักงานทั้งหมดจำนวน 7,000 คน คาดการณ์ว่า เมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ดีขึ้น พนักงานที่ถูกปลดประมาณ 1 ใน 3 จะไม่กลับมาทำงานกับบริษัทอีก
แต่สิ่งที่น่าวิตกกังวลมากกว่านั้นสำหรับแอชฟอร์ดคือ ภาระหนี้สินประมาณ 4,000-5,000 ล้านดอลลาร์ที่ครบกำหนดต้องจ่ายคืนเจ้าหนี้ในเดือนหน้า ซึ่งเบนเน็ตต์ ไม่มั่นใจว่าจะสามารถคืนหนี้จำนวนนี้ได้ทันตามกำหนด
“โรงแรมทุกแห่งในสหรัฐจะต้องผิดนัดชำระหนี้ในอีก 30 วันข้างหน้าหรืออาจจะ 60 วัน นี่คือหายนะของอุตสาหกรรมโรงแรม” เบนเน็ต กล่าว
เจ้าของธุรกิจโรงแรมอีกแห่งอย่าง เพ็บเบิลบรูค โฮเทล ทรัสต์ กำลังลดพนักงานประมาณ 90-95% ของจำนวนพนักงานที่มีอยู่ 8,000 คน ซึ่งจอน บอร์ตซ ซีอีโอเพ็บเบิลบรูค โฮเทล ทรััสต์ ยอมรับว่า ตัดสินใจปิดโรงแรมประมาณ 50% ของโรงแรมที่มีอยู่จำนวน 54 แห่ง หลังจากรายได้จากการเข้าพักของลูกค้าลดลงอย่างต่อเนื่อง
“นี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากมากอย่างไม่น่าเชื่อ อุตสาหกรรมทุกแห่งที่มีการติดต่อสื่อสารของผู้คนต่างบอบช้ำกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ” บอร์ตซ กล่าวและว่า ในเมื่อธุรกิจที่ทำ ไม่ทำเงินให้อีกต่อไป ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะดำเนินธุรกิจนั้นต่อ
ขณะนี้ บรรดาเจ้าของโรงแรมทั่วประเทศในสหรัฐกำลังถูกบังคับให้ประเมินสถานการณ์ในรูปแบบคล้ายๆกัน เนื่องจากยอดการเข้าพักในโรงแรมลดลงทุกวัน ถือเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับเจ้าของธุรกิจโรงแรมที่มีรายจ่ายรออยู่ ไม่นับหนี้เงินกู้จากธนาคารที่ใกล้ครบกำหนดชำระคืน
ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสหรัฐนั้น ล่าสุด จำนวนผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 9,077 ราย เพิ่มขึ้นกว่า 2,000 ราย ภายในระยะเวลาเพียง 9 ชั่วโมง ขณะที่ยอดรวมของผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 145 ราย สอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดจากมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ที่ระบุว่า ขณะนี้จำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในสหรัฐสูงกว่า 9,000 ราย
ขณะที่ “แอนดรูว์ คูโอโม” ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก เปิดเผยว่า มีแนวโน้มที่จะมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในนิวยอร์กที่ไม่รู้ตัวว่าได้รับเชื้อแล้วประมาณ 10,000 ราย พร้อมแสดงความกังวลว่า สหรัฐมีเตียงในโรงพยาบาลและเครื่องช่วยหายใจไม่เพียงพอ
นิวยอร์ก เป็นรัฐที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 รุนแรงที่สุดในสหรัฐ โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อเกือบ 3,000 ราย ส่งผลให้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คูโอโมและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ 3 รัฐ ประกาศห้ามรวมตัวกันเกินกว่า 50 คน และออกกฎระเบียบที่เข้มงวดสำหรับร้านอาหาร บาร์ และสถานบันเทิงอื่น ๆ เพื่อชะลอการแพร่ระบาดของโรค