‘เจเน็ต เยลเลน’ ว่าที่ รมว.คลังสหรัฐ
เปิดเส้นทางของ "เจเน็ต เยลเลน" จากประธานธนาคารกลางสหรัฐ สู่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐในรัฐบาล "โจ ไบเดน" ซึ่งนับว่าเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นประธานเฟด และ รมว.คลังสหรัฐ
สำหรับ "เจเน็ต เยลเลน" อดีตธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ต้องขอบอกว่าเส้นทางบนถนนที่กำลังขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐของเธอในรัฐบาลของ "โจ ไบเดน" เหมือนจะมาจากฟ้าลิขิตอยู่ส่วนหนึ่ง โดยในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ เขาเลือก เจย์ พาวเวล มาแทนเธอก่อนที่จะเข้าสู่วาระที่สองในตำแหน่งประธานเฟดของเธอ แล้วอีกกว่าสองปีต่อมาเธอก็กำลังจะมาเป็น รมว.คลังสหรัฐในยุคไบเดน
โดยส่วนตัว ผมเชียร์ "เลอัล แบรนนาร์ด" สมาชิกเฟดให้มารับตำแหน่งนี้มากกว่า เนื่องจากผมชอบในความกล้าที่จะพาเฟดไปในจุดใหม่ๆ อย่างสกุลเงินดิจิทัล หรือเศรษฐกิจสีเขียวมากกว่า แต่เยลเลนก็ถือว่ามีดีเกินพอที่จะรับงานนี้ได้แบบสบายๆ
บทความนี้ขอพามารู้จักเธอให้มากขึ้นกว่านี้กันสักหน่อย ขอเริ่มจากด้านภูมิหลังก่อน เธอเติบโตจากครอบครัวชนชั้นกลางชาวยิวในย่านบรูคลิน นิวยอร์ก คุณพ่อเป็นหมอที่เปิดคลินิกเองในบ้าน ส่วนคุณแม่เป็นคุณครูโรงเรียนประถมศึกษา ที่ได้ลาออกมาเลี้ยงดูเธอและพี่ชาย เธอเป็นเด็กที่มีผลการเรียนดีทุกวิชา ได้เข้าเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์ระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยบราวน์ และระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเยล ร่วมกับคนดังอีก 2 ท่าน ได้แก่ เจมส์ โทบิน และโจเซฟ สติกลิทซ์ ทั้งคู่เป็นนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล โดยโทบินได้กล่าวชมเยลเลนว่าเข้าใจอำนาจและข้อจำกัดของกลไกตลาดเป็นอย่างดี
ต่อมาเธอได้มาสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ให้กับมหาวิทยาลัย ทว่าก็มีอันต้องย้ายไปทำงานที่ซานฟรานซิสโก หลังจากได้พบรักและแต่งงานกับศาสตราจารย์ที่มาทำงานวิจัยในมหาวิทยาลัยของเธอนามว่า "จอร์จ แอคเคลอฟ" นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล งานวิจัยที่ออกมาอย่างมากมายในช่วงทศวรรษที่ 80 มาจากการทำงานภายใต้สโลแกน "แอคเคลอฟคิด เยลเลนทำ" จนกระทั่งตอนที่เธออายุ 48 ปี ได้รับโทรศัพท์จากทำเนียบขาวให้ไปรับตำแหน่งผู้บริหารในธนาคารกลางสหรัฐ นับแต่นั้นเธอก็ทำงานในสายนี้เรื่อยมาจนดำรงตำแหน่งประธานเฟดในที่สุดเมื่อเกือบ 6 ปีก่อน
แม้เธอจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รอบรู้และเข้าใจกลไกการทำงานของเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ทว่าคำถามที่หลายคนเคยตั้งข้อสงสัยกับตัวของเยลเลนเมื่อ 6 ปีก่อน คือเธอจะเข้มแข็งพอสำหรับตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐหรือเปล่า เนื่องมาจากคำบอกเล่าของคนใกล้ชิดของเธอ กล่าวว่าเธอเหมือนจะมีความอบอุ่นและอ่อนโยนให้กับคนที่อยู่ใกล้ชิดเธออยู่เสมอ รวมถึงตอนที่เธอทำงานในตำแหน่งประธานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้กับอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ก็เป็นช่วงที่ไม่ง่ายนักสำหรับตัวเธอเอง ทว่าในเวลาต่อมา เธอก็สามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าสำหรับตำแหน่งประธานเฟด เธอทำได้ค่อนข้างดีในระดับน้องๆ เบน เบอร์นันเก้ อดีตประธานเฟดอีกท่าน เลยทีเดียว
คราวนี้หันมาดูความคิดทางด้านเศรษฐกิจของเธอบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่มีการลดขนาดการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE Tapering นั้น เธอมีตัวเลขเศรษฐกิจที่ไว้พิจารณาอยู่ 4 ชุด แต่ก่อนไปถึงตรงจุดนั้น เธอกล่าวว่าเวลาที่พิจารณาว่าจะลดขนาด QE หรือไม่นั้น เธอจะดู 1.ข้อมูลในลักษณะเชิงคุณภาพด้วย มิใช่เชิงปริมาณเท่านั้น 2.ภาพในอนาคตของตลาดแรงงาน มิใช่มองเพียงว่าตัวเลขในปัจจุบันดีขึ้นกว่าในอดีตมากน้อยเท่าไร และ 3.พิจารณาว่าการซื้อ หรือขายสินทรัพย์ของเฟดจะก่อให้เกิดประโยชน์ หรือมีค่าใช้จ่ายจากปฏิบัติการดังกล่าว แล้วถ่วงน้ำหนักดูว่าข้างไหนมากกว่ากัน มิใช่พิจารณาเพียงว่าข้อมูลตัวเลขการว่างงานเพียงเท่านั้น
คราวนี้หันมาดูข้อมูลเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัวที่เยลเลนจะนำมาพิจารณาเป็นพิเศษในการลดหรือเพิ่มขนาดการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ข้อมูลชุดแรกที่บ่งบอกถึงภาพในอนาคตของตลาดแรงงานเป็นอย่างดี ได้แก่ อัตราการว่างงาน ดังจะเห็นได้จากแนวโน้มของอัตราการว่างงานตั้งแต่ปี 2521 หากอัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 0.5 หรือมากกว่านั้น เป็นเวลา 2 ไตรมาสติดต่อกัน โอกาสที่ 2 ไตรมาสต่อมาที่อัตราการว่างงานจะลดลงอีกมีโอกาสสูงถึงร้อยละ 75
อย่างไรก็ดี ในช่วง 1-2 ปีล่าสุด แนวโน้มดังกล่าวมักจะไม่เป็นเช่นนั้น อาทิ ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2554 และไตรมาสแรกของปี 2555 อัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 0.75 ทว่าอัตราการว่างงานก็หยุดลดลงหลังจากนั้นเป็นต้นมา สาเหตุหนึ่ง ก็คืออัตราการว่างงานลดลงเนื่องจากแรงงานได้ออกจากตลาดแรงงาน มิใช่อุปสงค์ของแรงงานได้รับการตอบสนองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันเป็นที่มาของตัวเลขที่สอง ซึ่งเยลเลนพิจารณาเป็นพิเศษ
ข้อมูลชุดที่สอง ข้อมูลการจ้างงานภายในระบบเศรษฐกิจ เพื่อจะพิจารณาว่ามีการจ้างงานจริงหรือไม่ ทว่าก็มีข้อเสียที่มีการทบทวนตัวเลขของข้อมูลดังกล่าวในเวลาต่อมาอยู่บ่อยๆ จึงมีการให้ความสนใจกับตัวเลขเชิงพลวัตในข้อมูลชุดที่สามและสี่
ชุดที่สามและสี่ ได้แก่ ปริมาณการจ้างงานในเดือนนั้นๆ และตัวเลขที่ผู้ใช้แรงงานตัดสินใจลาออกจากที่ทำงานของตนเอง โดยหากตัวเลขการจ้างงานในเดือนหนึ่งๆ กระเตื้องขึ้นก็นับเป็นสัญญาณที่ดี ในทางกลับกัน หากตัวเลขที่ผู้ใช้แรงงานตัดสินใจลาออกสูงขึ้น นั่นก็แสดงว่าแรงงานเชื่อมั่นว่าจะสามารถกลับมาสู่ในตลาดแรงงานอีกครั้งได้ไม่ยาก
โดยสรุปคือ เยลเลนที่กำลังจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐในยุคไบเดน ซึ่งเธอกำลังถือเป็นคนแรกที่เคยดำรงตำแหน่งทั้งประธานเฟด และ รมว.คลังสหรัฐ รวมถึงเป็นผู้หญิงท่านแรกที่เป็นประธานเฟด และกำลังจะเป็นผู้หญิงท่านแรกที่เป็น รมว.คลังสหรัฐ
เธอกำลังจะเป็น รมว.คลังแนวที่เน้นตัวเลขการจ้างงานที่หลากหลายค่อนข้างมากท่านหนึ่งที่ผมเคยเห็นมา โดยให้ความสำคัญต่อตัวเลขการจ้างงานมากกว่า สตีเฟน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐท่านปัจจุบันแบบที่ทิ้งกันแบบขาดลอย