แบงก์ชาติ ‘ไต้หวัน’ ยันไม่ปั่นค่าเงิน หลังสหรัฐหมายหัว
"ธนาคารกลางไต้หวัน" ยืนยันไม่ปั่นค่าเงิน หลังสหรัฐเพ็งเล็ง พบรายงานไต้หวัน ดำเนินนโยบายเข้าข่ายบิดเบือนค่าเงิน ละเมิดกฎหมายการค้าสหรัฐ
ธนาคารกลางไต้หวันออกแถลงการณ์ว่า ไต้หวันไม่เคยใช้อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศเพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม หลังกระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่าไต้หวันมีการดำเนินนโยบายเข้าข่ายบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งละเมิดกฎหมายทางการค้าของสหรัฐที่ออกมาเมื่อปี 2559
กระทรวงการคลังสหรัฐไม่ได้ระบุว่า ไต้หวัน สวิตเซอร์แลนด์และเวียดนาม มีการละเมิดกฎหมายด้านนี้อย่างเป็นทางการในรายงานรอบครึ่งปีว่าด้วยประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน โดยให้เหตุผลว่ายังมีหลักฐานไม่เพียงพอเมื่อพิจารณาตามกฎหมายมาตราอื่นๆ
ธนาคารกลางไต้หวัน ระบุในแถลงว่า ไต้หวันได้ส่งรายงานชี้แจงให้สหรัฐแล้วก่อนที่กระทรวงการคลังสหรัฐจะมีประกาศเช่นนี้ออกมา โดยในรายงานมีการร้องขอให้ผ่อนปรนเกณฑ์พิจารณาการบิดเบือนค่าเงิน 3 รายการ ได้แก่ มียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐเกิน 2 หมื่นล้านดอลลาร์, มีการแทรกแซงการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกินกว่า 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) และมีดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลมากกว่า 2% ของ GDP เนื่องจากในช่วงนี้ยังมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อยู่
การส่งออกสินค้าด้านเทคโนโลยีของไต้หวันทะยานขึ้นแข็งแกร่งระหว่างช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากผู้บริโภคทั่วโลกมีความต้องการคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค แท็บเล็ต และอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อใช้ทำงานจากที่บ้านมากขึ้น จึงทำให้ไต้หวันมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐ และทำให้มูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ไต้หวันพุ่งสูงขึ้น นอกจากนี้สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐยังส่งผลให้ความต้องการสินค้าเทคโนโลยีจากไต้หวันในสหรัฐทะยานขึ้นด้วย
“ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในสภาวะไม่ปกติจากข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ รวมไปถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กระทรวงการคลังสหรัฐจึงควรผ่อนปรนการใช้เกณฑ์ตามมาตรฐานเดิมในการประเมินนโยบายเศรษฐกิจ การค้า และอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่ค้าในขณะนี้” ธนาคารกลางไต้หวันระบุ
ธนาคารกลางไต้หวันระบุว่า ในระหว่างการสื่อสารกับสหรัฐนั้น ธนาคารกลางไต้หวันได้เน้นย้ำว่านโยบายด้านอัตราการแลกเปลี่ยนของไต้หวันมุ่งเน้นไปที่การรักษาเสถียรภาพของตลาดการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และการส่งเสริมเสถียรภาพทางการเงิน และไม่เคยมีการนำมาใช้เพื่อให้เกิดข้อได้เปรียบทางการค้าอย่างไม่เป็นธรรม