'ดาวโจนส์'ปิดร่วงในกรอบแคบ 85 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันอังคาร(27ก.ค.)ปรับตัวลง 85 จุด ขณะที่นักลงทุนรอดูผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างแอ๊ปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ และอัลฟาเบท ที่มีกำหนดเปิดเผยผลประกอบการหลังปิดตลาด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ลดลง 85.79 จุด หรือ 0.24% ปิดที่ 35,058.52 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 20.84 จุด หรือ 0.47% ปิดที่ 4,401.46 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 180.14 จุด หรือ 1.21% ปิดที่ 14,660.58 จุด
หลังจากปิดตลาดในแดนบวกมา 5 วันติดต่อกัน ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวลดลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการที่ทางการจีนเข้ามาควบคุมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ และแนวทางของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในการกำกับดูแลเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประชุมนโยบายการเงินและแถลงมติอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 27-28 ก.ค.นี้ หลังจากช่วงที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด มีท่าทีเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยเขากล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสว่า เฟดจะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) และจะยังไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นในขณะนี้ก็ตาม
สำหรับบริษัทที่เปิดเผยผลประกอบการก่อนตลาดเปิดทำการในวันนี้ ได้แก่ บริษัทยูไนเต็ด พาร์เซิล เซอร์วิส (ยูพีเอส) ซึ่งเป็นบริษัทรับส่งพัสดุภัณฑ์รายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้จากธุรกิจหลักในสหรัฐเพิ่มขึ้น 10.2% ในไตรมาส 2 ส่วนรายได้จากธุรกิจในต่างประเทศพุ่งขึ้น 30% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของธุรกิจในยุโรป
ส่วนกำไรในไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 3.06 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.82 ดอลลาร์/หุ้น
ทั้งนี้ ยูพีเอส ระบุว่า ปัจจัยที่ช่วยหนุนกำไรและรายได้ในไตรมาส 2 นั้น มาจากการขนส่งสินค้าในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ, การขนส่งทางอากาศ และการขนส่งสินค้าด้านสุขภาพเช่นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
นอกจากนี้ บริษัทในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่ดีเกินคาดในไตรมาส 2 โดยเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) เปิดเผยกำไรอยู่ที่ 5 เซนต์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.31 เซนต์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ที่ 1.828 หมื่นล้านดอลลาร์ มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.808 หมื่นล้านดอลลาร์
ทางด้านบริษัท 3M เปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 2.59 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.29 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ 8.95 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8.53 พันล้านดอลลาร์
ส่วนบริษัทฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของสหรัฐ เปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 2.02 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.94 ดอลลาร์/หุ้น ขณะที่รายได้อยู่ที่ 8.81 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 8.64 พันล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทในภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสามารถบ่งบอกถึงภาพรวมของเศรษฐกิจได้ แม้ในช่วงเวลาที่สหรัฐยังคงเผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งกำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในขณะนี้
ในส่วนของข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยแล้วในวันนี้ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนมิ.ย. น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 2.1% ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกันแล้วที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนออกมาต่ำกว่าคาดการณ์
อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับทบทวนยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค. เป็นเพิ่มขึ้น 3.2% จากรายงานก่อนหน้านี้ที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 2.3% ทั้งนี้ ความต้องการสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 13 ในรอบ 14 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าในภาพรวมแล้ว ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนยังคงแข็งแกร่ง
ขณะที่ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส-ชิลเลอร์ เผยว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วสหรัฐพุ่งขึ้น 16.6% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 30 ปี โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 14.8% ในเดือนเม.ย. และเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12