'วิกฤตมนุษยธรรม'ความท้าทายของรัฐบาลตาลีบัน

'วิกฤตมนุษยธรรม'ความท้าทายของรัฐบาลตาลีบัน

"ซาบีฮุลเลาะห์ มูจาฮิด" โฆษกกลุ่มตาลีบัน บอกว่า กลุ่มตาลีบันยินดีกับการที่สหรัฐถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถาน หลังจากผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐได้เสร็จสิ้นการถอนกองกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานแล้วเมื่อวันจันทร์ (30 ส.ค.)

มูจาฮิด ทวีตข้อความทางทวิตเตอร์ว่า “ทหารสหรัฐคนสุดท้ายอพยพจากสนามบินคาบูลในช่วงเที่ยงคืนของวันจันทร์ที่ผ่านมา ถือว่าประเทศของเราเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์”

เที่ยวบินอพยพเที่ยวสุดท้ายบินขึ้นในช่วงชั่วโมงสุดท้ายของคืนวันจันทร์ที่ 30 ส.ค. โดยพาทหารและผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางทหารของสหรัฐกลับประเทศ 1 วันก่อนถึงกำหนดเส้นตายที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนกำหนดไว้ในวันที่ 31 ส.ค.

หลังจากนายมูจาฮิดทวีตข้อความประมาณเวลา 01.00 น. ของวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นได้ไม่นาน สมาชิกกลุ่มตาลีบันก็เริ่มฉลองด้วยการยิงปืนในกรุงคาบูล เมืองหลวงของอัฟกานิสถานนานประมาณ 1 ชั่วโมง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ประชาชนในกรุงคาบูล

หลังเสียงปืนสงบลง มูจาฮิดทวีตข้อความว่า “เสียงปืนที่ได้ยินในกรุงคาบูลคือการยิงฉลอง ประชาชนในกรุงคาบูลไม่ต้องกังวลอะไร เรากำลังพยายามควบคุมสถานการณ์อยู่”

การทวีตข้อความของมูจาฮิดมีขึ้นไม่นาน หลังจาก“เคนเน็ธ แมคเคนซี” ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐเสร็จสิ้นการถอนกองกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานแล้ว ซึ่งเป็นการยุติการทำสงครามนานนับ 20 ปีกับผู้ก่อการร้ายในอัฟกานิสถานหลังจากสหรัฐถูกโจมตีในเหตุการณ์ 9/11 เมื่อปี 2544

ผู้บัญชาการแมคเคนซี กล่าวว่า แม้สหรัฐเสร็จสิ้นภารกิจการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานหลังทำสงครามไล่ล่ากลุ่มอัลกออิดะห์ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2544 แต่สหรัฐ ยังมีภารกิจด้านการทูตในอัฟกานิสถาน เพื่อให้ความช่วยเหลือพลเมืองชาวอเมริกันที่หลงเหลืออยู่ รวมทั้งชาวอัฟกันกลุ่มเสี่ยงที่ต้องการเดินทางออกนอกประเทศ

ผู้บัญชาการแมคเคนซี ระบุว่า ขณะนี้มีพลเมืองชาวอเมริกันที่ยังคงติดค้างอยู่ในอัฟกานิสถานน้อยมาก พร้อมกับย้ำว่า กระทรวงการต่างประเทศจะรับหน้าที่ให้ความช่วยเหลือชาวอเมริกันที่กำลังอยู่ในระหว่างการอพยพ

ขณะที่เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐคาดการณ์ว่า มีชาวอเมริกันหลงเหลือในอัฟกานิสถานไม่ถึง 250 คน โดยประชาชนเหล่านี้ต้องการเดินทางออกจากอัฟกานิสถาน

ขณะที่สหรัฐเสร็จสิ้นภารกิจถอนทหารแต่ดินแดนนี้ยังต้องเผชิญปัญหาด้านมนุษยธรรมรุนแรงระดับวิกฤต โดยรายงานข่าวจากเว็บไซต์อัลจาซีราห์ระบุว่า 1 ใน3ของชาวอัฟกันอยู่ในภาวะหิวโหยและกว่า5แสนคนอยู่ในสภาพพลัดที่นาคาที่อยู่เพราะการสู้รบเป็นระยะๆในประเทศตั้งแต่เดือนม.ค.ที่ผ่านมา

ข้อมูลจากสำนักงานประสานงานกิจการด้านสิทธิมนุษยชน (โอซีเอชเอ)ระบุว่า เฉพาะเดือนก.ค.เดือนเดียว จำนวนผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ(ไอดีพี)ของอัฟกานิสถานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านี้ที่มีผู้พลัดถิ่นจำนวน 206,967 คน

ตอนนี้ผู้พลัดถิ่นมีจำนวนกว่า 570,000 คน และเกือบ 80% เป็นผู้หญิงกับเด็ก ขณะที่ชาวอัฟกันหนีออกนอกประเทศหลายหมื่นคนเพราะกลัวเหตุรุนแรง ในจำนวนนี้มีอย่างน้อย 113,500 คนที่ออกนอกประเทศผ่านความช่วยเหลือของสหรัฐและพันธมิตรตะวันตกช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะที่ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ(ยูเอ็นเอชซีอาร์)คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ จะมีชาวอัฟกันหนีออกนอกประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะในระยะ 4 เดือนข้างหน้าที่คาดว่าจะมีชาวอัฟกันหนีออกนอกประเทศจำนวน 500,000 คนเพราะสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมือง

ด้านโครงการอาหารโลก(ดับเบิลยูเอฟพี)ระบุว่า 1 ใน 3 ของประชากรอัฟกันที่มีอยู่ประมาณ 38 ล้านคนกำลังเผชิญหน้ากับปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหาร รวมถึงเด็กจำนวน2ล้านคนที่ประสบปัญหาทุพโภชนาการอยู่แล้ว

อัฟกานิสถานประสบปัญหาขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงตั้งแต่ก่อนหน้าที่กองกำลังตาลีบันจะเข้ายึดกรุงคาบูลเมื่อสองสัปดาห์ก่อน โดย 40% ของพืชเกษตรเสียหายและปศุสัตว์ล้มตายจากปัญหาภัยแล้ง

“เดวิด บีสต์ลีย์”ผู้อำนวยการบริหารดับเบิลยูเอฟพี กล่าวว่า อาหารของหน่วยงานของยูเอ็นที่ให้ความช่วยเหลือด้านอาหารในอัฟกานิสถานจะเริ่มหมดในเดือนก.ย.และขณะนี้ยังไม่มีกองทุนใดๆเข้ามาช่วยสนับสนุน

อย่างไรก็ตาม อัฟกานิสถานตกอยู่ภายใต้ภาวะสงครามหรือการสู้รบมาตลอด 4 ทศวรรษ ก่อนที่โรคโควิด-19จะระบาด ประชาชนอย่างน้อย 54.5% ดำเนินชีวิตอยู่ใต้เส้นความยากจนและทุกวันนี้คาดว่าตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 72%