วัคซีน‘ซิโนฟาร์ม’หนุนสัมพันธ์จีน-เวียดนาม

วัคซีน‘ซิโนฟาร์ม’หนุนสัมพันธ์จีน-เวียดนาม

วัคซีน‘ซิโนฟาร์ม’หนุนสัมพันธ์จีน-เวียดนาม ขณะที่อัตราการฉีดวัคซีนให้พลเมืองของเวียดนามยังอยู่ในระดับต่ำ จีนจึงเห็นโอกาสในการใช้วัคซีนเป็นตัวผูกมิตรกับเวียดนามเพิ่มขึ้นในช่วงที่สัมพันธ์สองประเทศลุ่มๆดอนๆ

 การะบาดของโรคโควิด-19 สร้างความปั่นป่วนและความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างมากมายระลอกแล้วระลอกเล่าแก่เวียดนาม แต่ในมิติของการเมือง การเล่นงานเวียดนามของโรคระบาดร้ายแรงนี้ อาจสร้างผลกระทบในเชิงบวกด้วยการปรับปรุงความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ไม่ค่อยราบรื่นนักระหว่างจีนและเวียดนามให้ดีขึ้น               

จีนประกาศบริจาควัคซีนซิโนฟาร์มจำนวน 5.7 ล้านโดสให้เวียดนาม ซึ่งวัคซีนนี้ ไม่ใช่แค่ช่วยชาวเวียดนามจำนวนมากเท่านั้นแต่ยังช่วยอุดช่องโหว่เกี่ยวกับปริมาณวัคซีนที่หมุนเวียนในประเทศ และการมีบทบาทมากขึ้นของรัฐบาลเวียดนาม ในการรณรงค์ฉีดวัคซีนแก่พลเมืองในประเทศ ซึ่งเริ่มต้นช้ากว่าประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ 

 องค์การอนามัยโลก(ดับเบิลยูเอชโอ) ระบุว่า  นับจนถึงต้นเดือนนี้ ซิโนฟาร์มได้จัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19ให้เวียดนามแล้วคิดเป็นสัดส่วน 28% ของวัคซีนทั้งหมดที่จัดหาให้แก่เวียดนาม เพิ่มขึ้นจากช่วงปลายเดือนก.ค.ที่มีสัดส่วนแค่ 9% 

เวียดนามฉีดวัคซีนของซิโนฟาร์มมากเป็นอันดับสองรองจากวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า บริษัทยาสัญชาติอังกฤษ-สวีเดน ที่ 48% ขณะที่วัคซีนไฟเซอร์วัคซีนของโมเดอร์นาของสหรัฐมีสัดส่วน 11% และ8% ตามลำดับ โดยวัคซีนซิโนฟาร์มมีปริมาณรวม 17.7 ล้านโดส   

เวียดนามผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ใช้เองแต่จนถึงขณะนี้โครงการนี้ยังไม่ไปถึงไหน และขณะนี้ ทางการกำลังเตรียมรับมือการระบาดรอบใหม่ในพื้นที่ชนบท หลังจากคนงานจำนวนมากหนีจากโฮจิมินห์ ซิตี้กลับบ้านเกิด เมื่อทางการเลิกล็อกดาวน์    

“โคจิ ซาโกะ” นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากมิซูโฮะ รีเสิร์ชแอนด์เทคโนโลยีส์ ในกรุงโตเกียวให้ความเห็นว่า ความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังคงดำเนินต่อไป การที่จีนหันมาญาติดีกับเวียดนามจึงเป็นการดำเนินยุทธศาสตร์ที่สำคัญ

ความสัมพันธ์ทวิภาคีทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและเวียดนามมีความสำคัญมาช้านาน โดยจีนจัดหาวัตถุดิบให้แก่อุตสาหกรรมหลักของเวียดนาม ขณะที่ข้อมูลจากสำนักงานสถิติเวียดนาม ระบุว่า ในปี 2562 ประมาณ 32% ของการนำเข้าโดยรวมของเวียดนามมาจากจีน เพิ่มขึ้นจาก 24% ในปี 2563    

แต่ก็มีชาวเวียดนามจำนวนมากที่ไม่ซื้อสินค้าจากจีนและเวียดนามยังคงเป็นความท้าทายสำหรับรัฐบาลจีนที่จะแผ่อิทธิพล ครอบงำ เพราะปัญหาความขัดแย้งเมื่อครั้งอดีต รวมถึงสงครามจีน-เวียดนามเมื่อปี 2522    

“เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนให้พลเมืองของเวียดนามยังอยู่ในระดับต่ำ จีนจึงมองเห็นโอกาสที่จะใช้วัคซีนเป็นตัวผูกมิตรกับเวียดนาม”ซาโกะ กล่าว  

เพื่อรับมือกับวิกฤตสาธารณสุข เวียดนามจำเป็นต้องเร่งฉีควัคซีนที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยแก่ประชาชนให้มากที่สุด จนทำให้การใช้วัคซีนซิโนฟาร์ม หรือที่ชาวเวียดนามเรียกว่า“วีโร เซลล์”เพิ่มมากขึ้น

 “ฟาม เฟือง ตรินห์” พนักงานออฟฟิศในนครโฮจิมินห์ ซิตี้ ได้รับวัคซีนเข็มแรกจากซิโนฟาร์ม เมื่อเดือนส.ค.ซึ่งเป็นเดือนที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19เพิ่มขึ้น ซึ่งฟามก็เหมือนกับชาวเวียดนามคนอื่นๆที่อยากฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า หรือวัคซีนของสหรัฐยี่ห้ออื่นมากกว่า แต่ไม่มีวัคซีนเหล่านี้ให้เธอ

 “ผู้คนตายเพราะโรคโควิด-19 ทุกวันและเราไม่มีทางเลือก ฉันต้องฉีดวัคซีนของจีน แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าวัคซีนของจีนมีประสิทธิภาพน้อยกว่าวัคซีนอื่นๆของชาติตะวันตกก็ตาม”ตรินห์ กล่าว

 การโต้เถียงกันในประเด็นประสิทธิภาพของวัคซีนผลิตในจีนรุนแรงขึ้น นับตั้งแต่เริ่มใช้วัคซีนเหล่านี้ในช่วงปลายปี 2563 แต่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากก็มีความเห็นว่าวัคซีนของจีนช่วยป้องกันผู้ป่วยโรคโควิด-19ไม่ให้มีอาการรุนแรงได้มากที่สุด

ในเดือนส.ค.จีนบริจาควัคซีนให้เวียดนามล็อตที่2 จำนวน 2 ล้านโดสและให้คำมั่นว่าจะบริจาคเพิ่มอีก 3 ล้านโดสก่อนหน้าที่ “หวัง อี้”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน เดินทางเยือนกรุงฮานอยในช่วงต้นเดือนก.ย.

“จีนจะช่วยเวียดนามต่อสู้กับการระบาดของโรคโควิด-19อย่างเต็มที่”หวังกล่าวในโอกาสเยือนเวียดนามพร้อมนำสารทีเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีจากประธานาธิบดีสี จิ้นผิง มามอบให้แก่เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เวียนาม

แต่การเยือนเวียดนามของรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน เกิดขึ้นหลังจากรองประธานาธิบดีคามาลา แฮริส ของสหรัฐเยือนเวียดนามเมื่อวันที่ 25 ส.ค.พร้อมให้คำมั่นสัญญาบริจาควัคซีนเพิ่มให้เวียดนามอีก1ล้านโดสจากจำนวน5ล้านโดสที่สหรัฐประกาศบริจาคให้เวียดนามก่อนหน้านี้ ทำให้ยอดการบริจาควัคซีนของสหรัฐแก่เวียดนามในเดือนนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 9.5 ล้านโดส                        

“คาร์ล เทเยอร์”ศาสตราจารย์กิติคุณคณะรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยนิว เซาท์เวลส์ ของออสเตรเลีย ให้ความเห็นว่า “จีนถูกบังคับให้ต้องเร่งฝีเท้าให้ทัน หลังจากรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ของสหรัฐและลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐเยือนเวียดนาม จีนจึงเลือกที่จะใช้วัคซีนการทูตมาเป็นตัวช่วย พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันของระบบสังคมนิยม และงานนี้ถือว่าเวียดนามเป็นฝ่ายชนะ เพราะเวียดนามไม่ประณีประนอมกับความเป็นอิสระและการพึ่งพาตนเอง”

ในส่วนของรัฐบาลเวียนาม หวังที่จะให้บรรดาแรงงานกลับเข้ามาทำงานที่โฮจิมินห์ซิตี้เหมือนเดิม เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าต่อไป หลังจากที่จำนวนคนงานในนิคมอุตสาหกรรมหลักๆลดลงเหลือ 135,000 คนเท่านั้น จากช่วงเดือนก.ย.ที่มีคนงานในนิคมอุตสาหกรรมมากถึง 288,000 คน 

เมื่อวันที่ 8ต.ค.ที่ผ่านมา ทางการโฮจิมินห์ ซิตี้ระบุว่า ยังขาดแคลนคนงานประมาณ 40% 

ขณะที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปี2564 ลง 2% เหลือขยายตัวที่ 2.5% จาก 4.8% ที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนส.ค.