ดาวโจนส์ดิ่ง 320 จุดกังวลโอมิครอนแรงกว่าคาด
ดัชนีดาวโจนส์ ปิดวันจันทร์ (13ธ.ค.)ดิ่งลง 320 จุด ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับความรุนแรงของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปรับตัวลง 320.04 จุด หรือ 0.89% ปิดที่ 35,650.95 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 43.05 จุด หรือ 0.91% ปิดที่ 4,668.97 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 217.32 จุด หรือ 1.39% ปิดที่ 15,413.28 จุด
หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจ เช่น หุ้นกลุ่มสายการบินและธุรกิจเรือสำราญ ต่างร่วงลงในการซื้อขายวันนี้
ทั้งนี้ อังกฤษยืนยันพบผู้ป่วยรายแรกที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นการทำลายความเชื่อเดิมที่ว่า ไวรัสโอมิครอนจะไม่ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการรุนแรงจนเสียชีวิต
มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษออกรายงานระบุว่า การฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของบริษัทไฟเซอร์ หรือแอสตร้าเซนเนก้า จำนวน 2 เข็ม อาจไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 14-15 ธ.ค.
ก่อนหน้านี้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดไว้ ซึ่งจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
นายพาวเวลกล่าวว่า เฟดอาจปรับลดวงเงินคิวอีมากกว่าเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยเฟดจะมีการหารือกันในการประชุมครั้งนี้
โกลด์แมน แซคส์ออกรายงานคาดการณ์ว่า เฟดจะเพิ่มการปรับลดวงเงินคิวอีเป็นเดือนละ 30,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 15,000 ล้านดอลลาร์ โดยจะปูทางให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.2565 ซึ่งเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ที่สหรัฐเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2563
ด้าน FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งวิเคราะห์การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งแรกในเดือนพ.ค.หรือมิ.ย.2565 และมีแนวโน้ม 61% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565