"เมตา" เผย ธุรกิจ "เมตาเวิร์ส" ขาดทุนกว่าหมื่นล้านดอลล์ ปี 64
เมตา เผยฐานะการเงินธุรกิจ "เมตาเวิร์ส" เป็นครั้งแรก ระบุขาดทุนเป็นเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และมีแนวโน้มว่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก เพราะฉะนั้นการสร้างธุรกิจเมตาเวิร์สจึงไม่ใช่เรื่องถูกๆ
เว็บไซต์อัลจาซีราห์ รายงานว่า เมตา หรือบริษัทเฟซบุ๊ค ของ “มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก” เปิดเผยฐานะการเงินช่วงไตรมาส 4 ของปี 2564 ของแผนกเรียลลิตี้ แล็บส์ ของบริษัทเป็นครั้งแรกเมื่อวันพุธ (2 ก.พ.) ว่า บริษัทขาดทุนจากธุรกิจเมตาเวิร์ส เป็นเงินกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์และมีแนวโน้มว่าจะขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก โดยธุรกิจของบริษัทครอบคลุมรายได้จากฮาร์ดแวร์ อาทิ แว่นวีอาร์ เมตา เควส
การขาดทุนในปี 2564 เป็นไปตามการคาดการณ์ของซักเคอร์เบิร์กเมื่อปีที่แล้ว และมีความเป็นไปได้สูงที่ในปีนี้จะขาดทุนเพิ่มขึ้น
ตัวเลขขาดทุนของเมตา ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทดิ่งลงอย่างรุนแรงถึง 22.79% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กวานนี้ (3 ม.ค.) หลังจากบริษัทเปิดเผยผลกำไรที่ต่ำกว่าคาด และจำนวนผู้ใช้งานที่ชะลอตัวลง นอกจากนี้ บริษัทยังเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการที่อ่อนแอลงด้วย
เมตาเปิดเผยว่า ผลกำไรต่อหุ้น ในไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 3.67 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Refinitiv คาดการณ์ว่าน่าจะอยู่ที่ 3.84 ดอลลาร์ ส่วนรายได้อยู่ที่ 33,670 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 33,400 ล้านดอลลาร์
สำหรับ ยอดผู้ใช้งานรายวันของเมตาอยู่ที่ 1.93 ล้านราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.95 ล้านราย ขณะที่ยอดผู้ใช้งานรายเดือนอยู่ที่ 2.91 ล้านราย ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.95 ล้านราย ส่วนรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU) อยู่ที่ระดับ 11.57 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 11.38 ดอลลาร์
เมตาเปิดเผยว่า ยอดผู้ใช้งานรายวันในไตรมาส 4/2564 ชะลอตัวลงจากไตรมาส 3 และถือเป็นครั้งแรกที่ยอดผู้ใช้งานรายวันของบริษัทปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ บริษัทยังคาดการณ์ว่า รายได้ในไตรมาส 1 ปีนี้ จะอยู่ที่ 27,000- 29,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ของ Refinitiv คาดการณ์ไว้ที่ 30,150 ล้านดอลลาร์ หมายความว่า อัตราการเติบโตของรายได้ของเมตาในไตรมาสดังกล่าวจะอยู่ที่ 3-11% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 15%
แถลงการณ์ของเมตาระบุว่า ผลประกอบการของบริษัทได้รับผลกระทบจากหลากหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งรวมถึงปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และการที่บริษัทแอ๊ปเปิ้ล อิงค์ เปลี่ยนแปลงนโยบายความเป็นส่วนตัวด้วยการอัพเดตระบบปฏิบัติการบนไอโฟน เป็น iOS 14.5 ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ด้านโฆษณาของบริษัท
ทั้งนี้ แอ๊ปเปิ้ลเปิดตัวซอฟต์แวร์ iOS 14.5 เมื่อปีที่แล้ว โดยกำหนดให้ผู้ใช้งานต้องให้ความยินยอมก่อนที่แอพพลิเคชันต่าง ๆ จะสามารถติดตามข้อมูลของผู้ใช้งานในบริการและเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อเป้าหมายด้านการโฆษณา
เมตาและบริษัทอื่น ๆ ที่ต้องพึ่งพาการโฆษณาบนแพลตฟอร์มดิจิทัลต่างวิตกกังวลว่า อาจจะมีผู้ใช้งานจำนวนมากที่ไม่อนุญาตให้ติดตามข้อมูล ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ก็จะส่งผลกระทบต่อรายได้ด้านโฆษณาของแอพพลิเคชันเหล่านี้
นอกจากนั้น แผนการให้บริการธุรกรรมคริปโทฯ ภายใต้ชื่อเงินสกุล “เดียม” (Diem) ที่เมตาริเริ่มขึ้นมาเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ต้องยุติลงอย่างเป็นทางการ โดยสมาคมเดียมที่เมตาและพันธมิตรร่วมกันก่อตั้งขึ้นมา ได้ขายสินทรัพย์รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับโครงการนี้ให้ “ซิลเวอร์เกต” ซึ่งเป็นพันธมิตรรายหนึ่ง
สมาคมเดียมร่วมกับบริษัทซิลเวอร์เกต แคปิตอล คอร์ปอเรชั่น ประกาศเมื่อวันจันทร์ (31 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐว่า ซิลเวอร์เกตจะซื้อทรัพย์สินทางปัญญาและสินทรัพย์อื่น ๆ ของเครือข่ายเดียม เพย์เมนต์ โดยสินทรัพย์ดังกล่าวครอบคลุมถึงการพัฒนา การปรับใช้ และการดำเนินงานด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเครื่องมือสำหรับการดำเนินเครือข่ายการชำระเงินแบบบล็อกเชน
โครงการ “เดียม” (Diem) หรือชื่อเดิมว่าลิบรา (Libra) ประกาศเปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2562 เผชิญกับการต่อต้านจากหน่วยงานกำกับดูแล และฝ่ายนิติบัญญัติมาโดยตลอด โดยหน่วยงานกำกับดูแลแสดงความกังวลถึงเจตนารมณ์ของโครงการนี้ที่มีสเตเบิลคอยน์ผูกโยงอยู่กับบริษัทเมตา
ขณะที่สภาคองเกรสได้เชิญตัว “เดวิด มาร์คัส” ผู้ร่วมสร้างโครงการเดียม และ ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของบริษัท เข้าให้การเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวด้วย