'ไบเดน'ยกเลิกทริปเดลาแวร์กระทันหันหลังประชุมวิกฤตยูเครน
ประธานาธิบดีสหรัฐ ยกเลิกกำหนดเดินทางกลับบ้านที่เดลาแวร์ช่วงปลายสัปดาห์กระทันหัน หลังเสร็จสิ้นการประชุมเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงเพื่อหารือคลี่คลายวิกฤตยูเครน
ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐ ยกเลิกกำหนดเดินทางกลับบ้านที่เดลาแวร์เมื่อวันอาทิตย์(20ก.พ.)อย่างกระทันหัน หลังเสร็จสิ้นการประชุมเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงระดับสูงเพื่อหารือคลี่คลายวิกฤตยูเครนและรัสเซียนาน 4 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นเรื่้องผิดปกติที่ประธานาธิบดีจะเปลี่ยนกำหนดการอย่างกระทันหันโดยเฉพาะแผนการเดินทางต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางออกจากวอชิงตัน
การยกเลิกกำหนดเดินทางกระทันหันของไบเดนเป็นการเคลื่อนไหวที่นัยสำคัญครั้งใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้หลังจากประธานาธิบดีไบเดน กล่าวไว้เมื่อไม่กี่วันก่อนว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย พร้อมจะบุกโจมตียูเครนได้ทุกเมื่อ
ทำเนียบขาวแถลงว่าประธานาธิบดีไบเดนมีภารกิจเกี่ยวกับครอบครัวที่ต้องจัดการจึงต้องเดินทางกลับไปยังเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลลาแวร์แต่ก็เปลี่ยนกำหนดการกระทันหันหลังจากเสร็จสิ้นการประชุมกับคณะเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคงของประเทศนานถึง 4 ชั่วโมง โดยยังคงอยู่ในวอชิงตัน ดีซีต่อไป
เมื่อวันอาทิตย์ (20ก.พ.)ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวบนเวทีประชุมด้านความมั่นคงที่เมืองมิวนิก ประเทศเยอรมนี เรียกร้องให้ชาติมหาอำนาจโลกรับประกันความมั่นคงให้ยูเครน
พร้อมทั้งระบุว่า สหภาพยุโรป( อียู) และ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ(นาโต) ต้องเเสดงความจริงใจว่าต้องการให้ยูเครนเข้าร่วมเป็นภาคีของอียู และนาโตหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องหลักของรัสเซีย ที่ไม่ต้องการให้นาโตรับยูเครนเป็นสมาชิกจนเป็นปัญหาตึงเครียด และเกิดการเผชิญหน้าในปัจจุบัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ให้สัมภาษณ์บีบีซีว่า สัญญาณทุกอย่างบ่งชี้ว่าแผนการของรัสเซียในการบุกยูเครนเริ่มขึ้นแล้ว โดยข่าวกรองชี้ว่า รัสเซียจะล้อมกรอบกรุงเคียฟของยูเครน ซึ่งจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตอย่างมากมายติดตามมา
ผู้นำอังกฤษ ยังอ้างคำพูดของประธานาธิบดีสหรัฐว่า ไบเดนได้แจ้งกับผู้นำชาติตะวันตกว่า มีข่าวกรองชี้ว่า กองกำลังรัสเซียไม่เพียงวางแผนจะบุกยูเครนจากทางฝั่งตะวันออกผ่านภูมิภาคดอนบาสเท่านั้น แต่ยังจะบุกลงมาจากเบลารุสและพื้นที่รอบกรุงเคียฟด้วย ซึ่งแผนการของรัสเซียจะเป็นสงครามในยุโรปครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่2