ศาลสหรัฐยกเลิกคำสั่งสวมหน้ากากอนามัยบนเครื่องบิน-ระบบขนส่งสาธารณะ
ผู้โดยสารที่ใช้บริการเครื่องบิน รถไฟ และระบบขนส่งสาธารณะประเภทอื่น ๆ ในสหรัฐ ไม่จำเป็นต้องสวมหน้ากากอนามัยอีกต่อไป หลังจากศาลแขวงเมืองแทมปา รัฐฟลอริดา มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของรัฐบาลสหรัฐ
คณะกรรมการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านการขนส่ง (TSA) ของสหรัฐ และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐยืนยันว่า คำสั่งที่กำหนดให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยในขณะใช้บริการขนส่งสาธารณะนั้น จะไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม TSA และ CDC ยังคงแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 ต่อไป
แคทรีน คิมบอล ไมเซลลี ผู้พิพากษาศาลแขวงเมืองแทมปา รัฐแคลิฟอร์เนีย ได้ตัดสินให้ยกเลิกข้อกำหนดการสวมหน้ากากอนามัยทั่วประเทศในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทย (19 เม.ย.) และสั่งการให้ CDC ยกเลิกนโยบายการกำหนดให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยซึ่งเคยบังคับใช้เมื่อเดือนก.พ. 2564
โดยคำพิพากษาดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่กองทุนปกป้องเสรีภาพด้านสุขภาพของสหรัฐได้ยื่นฟ้องต่อศาลเมื่อปีที่แล้ว เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐ โดยระบุว่าประชาชนมีสิทธิ์ที่จะดูแลร่างกายของตนเองตามแนวทางสิทธิมนุษยชน
ด้านสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ และอลาสก้า แอร์ กรุ๊ป ได้แสดงท่าทีขานรับการตัดสินใจของ TSA โดยกล่าวว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะไม่มีการบังคับให้ผู้โดยสารสวมหน้ากากอนามัยในสนามบินและบนเครื่องบิน
อย่างไรก็ดี นางเจน ซากี โฆษกทำเนียบขาวได้แสดงความผิดหวังต่อคำตัดสินของศาล และกล่าวว่า “เราจะยังคงแนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยต่อไป และคณะบริหารของปธน.โจ ไบเดน จะพิจารณาทางเลือกต่าง ๆ ทางกฎหมาย”