อุตสาหกรรม "อีวี" โอกาสของบริษัทไทย

ถึงแม้สัดส่วนรถยนต์จดทะเบียนประเภทรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยยังมีไม่มาก แต่ภาครัฐกำลังเร่งสปีดอย่างเต็มที่เพื่อสร้างตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

โดยเฉพาะการประกาศมาตรการส่งเสริมการตลาดที่ภาครัฐจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ซื้อยานยนต์ไฟฟ้าผ่านค่ายรถยนต์ รวมทั้งมีการลดภาษีสรรพสามิตรถและการลดภาษีนำเข้าอีวี ซึ่งมีเงื่อนไขให้บริษัทรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องวางแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยภายใน 2 ปี

มาตรการดังกล่าวจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศดำเนินการมาก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีการอุดหนุนให้กับผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าจนกลายเป็นผู้นำของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าโลกในปัจจุบัน

ถึงแม้ประเทศจีนจะลดการอุดหนุนลง แต่ถือว่าสามารถสตาร์ทอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขึ้นมาได้แล้วจนสามารถแข่งขันกับประเทศชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าได้อย่างเข้มแข็งในอนาคต

ร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ที่จะนำมาใช้ในปี 2566-2570 กำหนดหมุดหมาย 13 ประเด็น ที่จะผลักดันประเทศไทย โดยหมุดหมายที่ 3 กำหนดแนวทางให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าหรืออีวีที่สำคัญของโลก

ปัจจุบันไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก และจะเร่งขับเคลื่อนการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าทั้งระบบ โดยกำหนดให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก โดยพัฒนายานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV)

อุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยถึงแม้จะผลิตรถยนต์ได้สูงที่สุดในอาเซียน สูงกว่าอินโดนีเซียและมาเลเซียที่เป็นคู่แข่งสำคัญ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยเติบโตด้วยบริษัทรถยนต์ของญี่ปุ่นเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ ไทยยังทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ป้อนให้กับโรงงานประกอบรถยนต์ต่างชาติ แต่เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า จะเป็นโอกาสสำคัญของบริษัทไทยที่จะก้าวเป็นผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าได้

ปัจจุบันเห็นความพยายามของบริษัทรายใหญ่ของไทยที่สร้างอีโคซิสเตมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีแผนการลงทุนผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ รวมถึงแผนการประกอบยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยที่ผู้ประกอบการไทยเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

ถึงแม้จะมีคู่แข่งจากการเข้ามาตั้งฐานการผลิตของบริษัทอีวีจีน แต่บริษัทไทยมีโอกาสเบียดเข้าสู่ตลาดยานยนต์ในประเทศได้มากกว่าในอดีต และเป็นแนวทางที่ควรมีการส่งเสริมให้บริษัทไทยเข้มแข็งขึ้น