เบนซ์ C 350e AMG Dynamic 'PHEV' ที่ตอบโจทย์คนรัก “EV”
เมอร์เซเดส-เบนซ์ เปิดตัว ชี-คลาส ใหม่ ช่วงต้นปี ด้วยรุ่น C220 d Avangard เครื่องยนต์ดีเซลซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ด้วยแนวทางการออกแบบที่พรีเมียมมากขึ้น ภายในห้องโดยสารเรียกว่าเป็น “เบบี้ เอส-คลาส” และช่วงปลายปีเบนซ์เพิ่มทางเลือกด้วย “C 350 e AMG Dynamic”
Mercedes-Benz C 350 e AMG Dynamic ค่าตัว 3.35 ล้านบาท โดยแนวทางการออกแบบ เน้นให้ดูมีความพรีเมียม และแน่นอนเติมจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่มุมมองด้านหน้ากับกระจังหน้าแบบ Star patter ส่วนเส้นสายด้านหลังเน้นลื่นไหลโค้งมนตั้งแต่ด้านหน้าถึงท้ายรถ ซึ่งมีผลเกี่ยวกับเรื่องของหลัก แอโร่ ไดนามิคด้วย ซึ่งค่า CD ของคันนี้อยู่ที่ 0.24
ติดตั้งล้อลอัลลอย AMG 5 ก้านคู่ ขนาด 18 นิ้ว ท่อไอเสียคู่ 2 ฝั่ง
ไฟหน้าเป็นแบบ Digital Light มีความละเอียดมากกว่า 1 ล้านพิกเซลในแต่ละข้าง ทำให้ทำงานได้ละเอียดมากขึ้น ลดจุดมืดจากจุดตัดของไฟซ้ายขวา และเพิ่มพื้นที่ส่องสว่างนอกจุดหลีกเลี่ยงได้แม่นยำขึ้น
พูดง่ายๆ ว่าหลักการทำงานคือ ระบบจะวาดภาพจุดหลีกเลี่ยง เช่น มีรถอยู่ด้านหน้า ก็วาดภาพเป็นรูปรถขึ้นมา มีคนเดินอยู่ก็วาดรูปคนขึ้นมาในสมอง เพื่อตัดแสงที่จะส่องไปยังตรงนั้น ส่วนพื้นที่นอกนั้นก็ส่งแสงไป ทำให้มีทัศนวิสัยที่ดีขึ้นในยามค่ำคืน
การออกแบบภายในถอดแบบมาจาก เอส-คลาส ทั้งหน้าจอแอลซีดีขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว หน้าผู้ขับ แสดงข้อมูลชัดเจน และเลือกแสดงได้ 3 แบบ คือ Discreet, Sporty และ Classic
ส่วนมอนิเตอร์ตรงกลางแนวตั้ง ขนาด 11.9 นิ้ว ออกแบบให้เฉียงมาทางฝั่งผู้ขับเล็กน้อย มาพร้อมระบบปรับอากาศควบคุมอัตโนมัติ 2 โซน รวมถึงระบบความบันเทิง MBUX ระบบสั่งการด้วยเสีย
มีระบบแสกนลายลายนิ้วมือ เพื่อเข้าใช้งาน MBUX การตั้งค่าเฉพาะบุคคล รวมถึงการจดจำการตั้งค่า พฤติกรรมการขับของแต่ละคน ได้รวดเร็ว โดยสามารถแสกนได้ 7 คน คนละ 2 นิ้ว
มีไฟเสริมบรรรยากาศ หรือ ambient light 64 เฉดสี
ส่วนออปชั่นที่ให้มามีเต็มคัน หลักๆ เช่น ระบบรักษาระยะห่างจากคันหน้า มี Lane Tracking package ซึ่งประกอบไปด้วยระบบช่วยดึงรถเข้าสู่ช่องจราจรเดิม หากตรวจพบความเสี่ยงการชน ระบบช่วยเตือนจุดบอด ระบบช่วยจอด กล้องถอยหลังและเซ็นเซอร์อัลตร้าโซนิค เพิ่มความสะดวกในการเข้าจอด หรือระบบป้องกันการชน ระบบช่วยเบรก เป็นต้น
สำหรับระบบไฮบริด ของ C 350 e AMG Dynamic เป็นเจเนอเรชั่นที่ 4 ที่ให้แบตเตอรี ลิเธียม ไอออนขนาดความจุ 25.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถขับด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะทางสูงสุด 100 กม. และทำความเร็วสูงสุดด้วยโหมด อีวี 140 กม./ชม. ซึงถือว่าตอบโจทย์การใช้งานด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวได้ดีพอ ทั้งระยะทาง และความเร็ว
แล้วในการใช้งานจริง ทำได้ตามนั้นหรือไม่
ทำได้มากกว่าที่คาดหวังครับ เมื่อรับรถแล้วผมมุ่งหน้าไปพัทยาด้วยเส้นบูรพาวิถีต่อด้วยมอเตอร์เวย์ ด้วยเลือกโหมด EL หรือ การใช้ไฟฟ้าล้วนๆ และเป็นการขับขี่แบบที่ผมขับทั่วไป ไม่ได้พยายามเอาตัวเลขความประหยัด เร่งได้เร่ง แซงได้แซง มีมุดบ้างหลบรถที่เกะกะอยู่เลนขวา
เป็นการขับขี่ที่สนุกครับ จากอัตราเร่งที่ดี เรียกกำลังมาได้เร็ว เหมาะกับการขับขี่ที่ต้องเปลี่ยนความเร็วบ่อยๆ เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว ทำให้ไม่เสียเวลาเมื่อเติมความเร็วใหม่อีกรอบ
เครื่องยนต์เริ่มทำงานครั้งแรกเมื่อผ่านระยะทาง 108 กม. เรียกว่ามากกว่าที่ระบุไว้ในสเปค และจังหวะการเข้ามารับช่วงของเครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร นุ่มนวล ไม่รู้สึกว่าเครื่องเริ่มทำงานนอกจากเห็นมาตรวัดรอบที่ขยับขึ้นมา
ส่วนความเร็วสูงสุดที่ได้จากการลองโหมด EL อยู่ที่ 147 กม.
ถ้าให้สรุปเกี่ยวกับเรื่องของพลังงานไฟฟ้า ผมว่าใครที่อยากได้ อีวี แต่ยังต้องการความสะดวกเมื่อต้องเดินทางไกล ไม่ต้องพะวงว่าจะหาที่ชาร์จไฟ คันนี้น่าสนใจ เพราะเชื่อว่าในชีวิตประจำวันแทบจะไม่ต้องใช้เครื่องยนต์เลย โหมด EV รองรับการใช้งานได้เพียงพอ
ส่วนการชาร์จก็ชาร์จได้ทั้งแบบ AC ที่ใช้เวลา 2 ชม. และถ้าเป็นการชาร์จเร็ว หรือ DC ก็ชาร์จได้เต็ม 100% ในเวลา 30 นาที
ผมชอบแนวคิดอีกอย่างของการใช้งานโหมด EV คือ การไม่เน้นการชาร์จกลับแบบพร่ำเพื่อ เช่น เมื่อผ่อนคันเร่ง ระบบจะเลือกปล่อยให้รถไหลไปข้างหน้ามากว่ารีบชาร์จกลับจนเรารู้สึกเหมือนเบรกถูกใช้งาน โดยวิศวกรเมอร์เซเดส-เบนซ์ จับความรู้สึกเหมือนกับรถที่ใช้เครื่องยนต์ คือ จังหวะที่ถอนคันเร่ง คนขับก็อาจยังต้องการให้รถวิ่งไปข้างหน้าด้วยแรงเฉื่อย จนกว่าจะใช้เบรก
และไม่ใช่แค่ความรู้สึก แต่มีการคำนวณว่า ระยะทางที่ได้จากการปล่อยไหลคุ้มกว่าการปล่อยให้มีแรงฉุดรถเพื่อชาร์จไฟ แล้วเอาไฟนั้นมาขับเคลื่อนให้ได้ระยะทางทีหลัง
ตัวอย่างเช่น หากปล่อยให้ไหลไป อาจได้ระยะทาง 100 เมตร แต่ถ้าให้ชาร์จกลับ ระยะทางที่ไหลไปอาจได้ 50 เมตร จากนั้นก็ดึงไฟที่ได้จากการชาร์จกลับมาขับเคลื่อนรถอีกที ซึ่งอาจได้ระยะทาง 20 เมตร รวมแล้ว 70 เมตร น้อยกว่า การปล่อยไหลที่ได้ 100 เมตร
ย้ำว่าอันนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นภาพแนวคิดเฉยๆ นะครับ ไม่ใช่ตัวเลขจริงที่บรรดาวิศวกรคำนวณมา
แต่ถ้าใครรู้สึกว่าต้องการการชาร์จจริงๆ ก็เลือกได้ด้วยตัวเองครับ
หรือถ้าเป็นการเส้นทางลงเนิน แบบนี้ก็จะมีการชาร์จกลับให้ โดยที่จอแสดงข้อมูลการขับขี่ เลือกดูกราฟฟิกองศาของตัวรถ ซึ่งปกติระบบนี้มักจะมีในกลุ่มรถเอสยูวีเป็นหลัก
แนวคิดนี้ยังมีผลไปยังโหมด H หรือ ไฮบริด ด้วย โดยสมองกลของรถคันนี้จะยึดตัวเลือกหลักคือ ไฟฟ้า ยกเว้นจังหวะที่ต้องการกำลังเสริมจากเครื่องยนต์จริงๆ หรือ ความเร็วที่สูงกว่าลิมิตของ EL หรือแบตฯ อยู่ในระดับต่ำ
และไฮบริดเจนเนอเรชั่น 4 ไม่มีโหมด ชาร์จ มาให้ เพราะมองว่าไม่มีเหตุผลที่จะให้เครื่องยนต์ทำงานแล้วชาร์จแบตฯ ก่อนดึงไฟจากแบตฯ กลับมาขับเคลื่อนรถ เพราะถ้าเครื่องยนต์ทำงานแล้วก็ขับเคลื่อนรถไปตรงๆ เลยดีกว่า
C300 e AMG Dynamic ยังมีโหมดการขับขี่ให้เลือกอีกคือ โหมด B หรือ Battery Hold หรือการรักษาระดับแบตเตอรีเอาไว้ใช้ในช่วงเวลาที่ต้องการ
โหมด Individual ตั้งค่าการทำงานต่างๆ ด้วยตัวเอง และโหมด Sport เมื่อต้องการอารมณ์สปอร์ตเพิ่มขึ้น ซึ่งเครื่องยนต์จะตอบสนองได้กระฉับกระเฉงขึ้นอย่างรู้สึกได้ แต่ผมว่าเลือกใช้แค่ H ก็พอแล้ว ขับเรื่อยๆ หรือจะขับแบบเร่งรีบก็สบายๆ
โดยสมรรถนะของระบบไฮบริด ให้กำลังสูงสุด 313 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6.1 วินาที ความเร็วสูงสด 245 กม./ชม.
ส่วนอารมณ์การขับขี่อื่นๆ เป็นรถที่ทำช่วงล่างออกมาได้ดี คือให้ทั้งความสปอร์ต เกาะถนน นิ่ง แม้จะใช้ความเร็วสูง หรือสูงมากก็ตาม ส่วนการเข้า-ออก โค้งทำได้เนียนๆ หรือแม้แต่การซอกแซกเปลี่ยนเลนไปมาบนถนนหลวงก็ตาม อารมณ์แบบนี้คนขับชอบ และการเก็บแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนก็ดี ซึ่งผู้โดยสารชอบ
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งคือ มันเหมาะกับถนนเมืองไทยที่มีถนนมากมายหลายสายหล่ายช่วงที่ผิวถนนไม่เรียบ เป็นคลื่นเป็นลอน หรือหลุมร่อง แต่การที่รถมีระบบ self leveling ทำให้รถเคลื่อนที่ไปแบบนิ่งๆ พยายามรักษาตัวรถให้ขนานกับพื้นถนนมากที่สุด ส่วนการขึ้นลงตามสภาพถนนเป็นหน้าที่ของล้อกับช่วงล่าง ดังนั้นคนนั่งก็สบาย คนขับก็คุมรถได้ง่าย
ดังนั้นใครที่ซื้อไปใช้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ จึงไม่แนะนำให้เปลี่ยนไซส์ยาง เพราะมีผลต่อการทำงานของระบบนี้ครับ