ควบ BMW ลุยสนามช้างฯ "ปลั๊กอิน-EV ยัน ตระกูล M" M2 จัดจ้าน M340i น่าใช้
เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู กับงาน BMW Driving Challenge 2023 ซึ่งจัดขึ้นที่สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์
ความโดดเด่นของกิจกรรมนี้คือ การยกขบวนรถที่หลากหลาย ทั้งพลังงานใหม่ อย่างไฟฟ้า ลูกผสม ปลั๊ก-อิน ไฮบริด และตัวจี๊ดคือ ตระกูล M
BMW Driving Challenge 2023 เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมใหญ่ของบีเอ็มดับเบิลยู ที่จัดขึ้น เพื่อให้ได้ประสบการณ์ตรง เรียนรู้อารมณ์จากรถ รวมถึงวิธีการควบคุมที่ถูกต้อง
รถที่ร่วมกิจกรรม ประกอบด้วย
- บีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ เจ้าของค่าตัว 6,499,000 บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู M340i xDrive ราคาจำหน่าย 4,199,000 บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ราคา 2,999,000 บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู X4 M Competition ราคา 8,799,000 บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 Sport ราคา 5,299,000 บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู iX3 M Sport ราคา 3,699,000 บาท
- บีเอ็มดับเบิลยู i4 eDrive35 M Sport ราคา 3,899,000 บาท
โดยราคาจำหน่าย รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard
รถแต่ละรุ่นก็รับผิดชอบหน้าที่ต่างกันไป ซึ่งครั้งนี้ถือว่ามีรูปแบบการขับที่หลากหลายมาก
แน่นอน M2 นั้นจองพื้นที่แทรคสนามช้างฯ ที่มีความยาว 4.55 กม. ทั้งการขับเป็นบางช่วงของสนาม และการขับแบบเต็มรอบ
ซึ่งดูดันทีเดียวครับ การเป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักไม่มากนัก แต่สมรรถนะสูง ช่วยให้มันมีความคล่องตัว โดยเฉพาะจังหวะเข้าออกโค้งที่ทำได้เร็วและคม และพวงมาลัยที่มีความแม่นยำสูง ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่าย
และแน่นอนการออกจากโค้งเป็นอีกหนึ่งความโดดเด่น ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่สูง
นอกจากนี้การที่มันเป็นรถแสดงอาการได้แม่นยำ และแก้อาการได้รวดเร็วก็ช่วยได้อีกทาง ซึ่งหากเราจะลองฝืนธรรมชาติสักนิด เช่น เข้าโค้งด้วยความเร็วที่ล้นๆ ลิมิต เล็กน้อย หรือลองเติมคันเร่งกลางโค้ง (ซึ่งไม่ควรทำ) เราจะรับรู้ได้ถึงอาการท้ายออกเล็กน้อย แต่ระบบของรถ และการแก้เล็กน้อยที่พวงมาลัยด้วยตัวเราเอง ก็สามารถเหยียบคันเร่งส่งต่อไปได้เลย น่าจะเป็นที่ถูกใจคอสปอร์ต
แต่ทั้งนี้รถเปิดระบบช่วยเหลือทุกอย่างไว้นะครับ ไม่ได้ปิดระบบใดทั้งสิ้น
ผมว่า M2 นี่ถ้าไปลงสนามแทรคเล็กๆ เช่น สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา ก็น่าจะสนุกกับความคล่องตัวและความแรงของมันครับ
โหมดการขับจะเลือกโหมดพื้นฐานก็เพียงพอ สนุกแล้วครับ แต่ถ้าอยากได้สปอร์ตกว่านั้น หรือการขับในแทรคแบบนี้ ก็เลือกโหมด M ได้ ซึ่งทำช็อตคัทไว้ให้แล้วที่พวงมาลัย จะเลือก M1 หรือ M2 ก็ตามใจ และก็เลือกการตอบสนองการทำงานของระบบเกียร์ได้ด้วย เผื่อใครจะชอบให้เกียร์อัตโนมัติ มีอาการคล้ายกับเกียร์ ดับเบิลคลัทช์ หรือ ว่าอารมณ์คล้าย เกียร์ธรรมดา
สำหรับ บีเอ็มดับเบิลยู M2 โฉมใหม่ ปรับแต่งให้โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า เป็นรถที่มีขนาดกะทัดรัด ระยะฐานล้อที่สั้นลง 110 มิลลิเมตร รวมถึงดีไซน์ภายนอกที่สั้นกว่าบีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe ถึง 214 มิลลิเมตร
กระจังหน้าทรงไตคู่แนวนอนขนาดใหญ่แบบไร้กรอบ ช่องดักอากาศ แบ่งเป็นสามส่วนรูปทรงเกือบจะเป็นสี่เหลี่ยม
ด้านท้ายเพิ่มความโดดเด่นด้วยขอบสปอยเลอร์บนฝากระโปรงหลัง แผ่นสะท้อนแสงจัดวางในแนวตั้ง ดิฟฟิวเซอร์ และปลายท่อไอเสียสองคู่
เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ เทคโนโลยี BMW M TwinPower Turbo
- กำลังสูงสุด 460 แรงม้า ที่ 6,250 รอบ/นาที
- แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตร ที่ 2,650 – 5,870 รอบ/นาที
- อัตราเร่ง 0 - 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 4.1 วินาที
- ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เกียร์อัตโนมัติ M Steptronic 8 สปีด พร้อมระบบ Drivelogic เพิ่มการเปลี่ยนเกียร์ให้สปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยระบบการเชื่อมต่อกับเครื่องยนต์โดยตรง พร้อมความสามารถในการลดเกียร์ลงหลายระดับจนถึงเกียร์ต่ำสุด
ระบบส่งกำลังพื้นฐานนี้มีส่วนสำคัญในการเร่งความเร็วแบบทันทีทันใด โหมดการขับขี่ M Drive Professional เพิ่มความเร้าใจในการขับขี่ มาพร้อมระบบเฟืองท้าย M Sport เพิ่มประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนและเสถียรภาพในการขับขี่เมื่อเปลี่ยนเลนหรือเร่งความเร็วออกจากโค้ง และเมื่อเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงหรือบนพื้นผิวถนนที่แตกต่างกัน
ช่วงล่าง Adaptive M Suspension สามารถเลือกได้อย่างอิสระระหว่างรูปแบบการขับขี่แบบสะดวกสบายหรือสปอร์ต
ตัวถังภายนอกตกแต่งด้วยวัสดุสีดำเงา โคมไฟหน้าตกแต่งสีดำสไตล์ M ไฟหน้า Adaptive LED ปรับไฟสูงอัตโนมัติ (High-beam assistant) ชุดเบรก M Compound สีแดงเงา และหลังคา M Carbon
ภายในห้องโดยสาร ตกแต่งสไตล์สปอร์ต หลังคาดีไซน์ M สีดำ Anthracite คอนโซลหน้าบุด้วยหนังแบบ BMW Individual ตกแต่งภายในแบบ M ด้วยคาร์บอนไฟเบอร์
พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M เข็มขัดนิรภัยดีไซน์ M เบาะนั่งดีไซน์ M Sport โดยเบาะนั่งด้านหน้าปรับไฟฟ้า และฝั่งผู้ชับมีระบบจำตำแหน่ง กาบบันไดดีไซน์ M แบบเรืองแสง
รูปแบบภายในห้องโดยสารเป็นแบบ BMW Live Cockpit Professional จอแสดงข้อมูลสำหรับผู้ขับที่แบบจอโค้ง BMW Curved Display
ติดตั้งระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน ระบบเครื่องเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon
ระบบด้านความปลอดภัยที่ติดตั้งเป็นมาตรฐาน ได้แก่
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC)
- ระบบควบคุมแรงดันเบรกแบบแปรผัน (DBC)
- ระบบควบคุมการกระจายแรงเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC)
- ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก (ABS)
- ระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ (BA)
- เซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง
- เซนเซอร์ควบคุมระบบความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash sensor)
- ระบบ Teleservices
- ปุ่มโทรออกฉุกเฉิน (Intelligent Emergency Call)
มีตัวเลือกสีตัวถังภายนอก 5 สี คือ สีฟ้า Zandvoort Blue Solid, สีขาว Alpine White Solid, สีแดง Toronto Red Metallic, สีเทา Brooklyn Grey Metallic และสีดำ Black Sapphire Metallic
ส่วนภายในห้องโดยสารสามารถเลือกการตกแต่งด้วยเบาะหนัง Vernasca ในสี Black/Exclusive Highlight, สี Black/Contrast Stitching Blue, และสี Cognac Decor Stitching หรือเบาะหนัง Alcantara/Sensatec Combination ในสี Black/Contrast stitching Blue
และตัวเลือกล้ออัลลอยน้ำหนักเบา M ลาย 930 M Double Spoke อีก 2 ตัวเลือก ได้แก่ แบบสลับสี หรือ สีดำ Jet Black
นอกจาก M2 ที่เป็นพระเอกของงานแล้ว ก็ยังมีรถอื่นๆ อย่าง X4 M Competition ที่เป็นอีกรุ่นที่ลองในแทรค แม้จะเป็นรถแนวเอสยูวี ที่มีความสูง แต่มันก็ไล่ๆ ไปกับ M2 ได้สนุก ซึ่งไม่ต้องแปลกใจ เพราะถ้าดูความแรงและอัตราเร่งมันดีกว่าอยู่แล้ว และการเสียเปรียบในจังหวะเข้าออกโค้งก็ไม่ชัดเจน
เอาเป็นว่ามันขับในแทรคได้สนุก เลย กับเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบ M TwinPower Turbo 2,993 ซีซี510 แรงม้า0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.0 วินาที
อีกรุ่นที่ได้ขับมากรอบที่สุดคือ M340i xDrive รถรหัส M ประกอบในประเทศ ราคาย่อมเยา แม้ใครจะว่ามันไม่ใช่ M แท้ แต่พูดก็พูดเถอะ ถ้าอยากได้รถสมรรถนะสูงๆ เอาไว้ใช้งานในชีวิตประจำวัน ก็คันนี้เลย
การฟาดฟันกับแทรคสนามช้างฯ รอบแล้วรอบเล่า ทำให้คุ้นเคยกับการควบคุมมันมากขึ้น ความแรงอาจไม่เท่า M2 แต่ความเนียนความแม่นยำในโค้งก็ไม่เป็นรองจนมีนัยยะสำคัญ แต่ก็ได้ความนุ่มนวลทั้งเรื่องของช่วงล่าง หรือจังหวะการตอบสนองของเครื่องยนต์เกียร์มาให้ได้ขับไปเที่ยว ขับไปทำงาน หรือไปชอปปิง ก็ได้
i4 eDrive35 M Sport รถยนตืพลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี ก็มีโอกาสกับแทรคแบบเต็มรอบเช่นกัน มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 286 แรงม้า ขับเคลื่อนล้อหลังถือว่ามีความแรงพอตัว แต่อาจจะดูน้อยไปสำหรับสนามช้างฯ
แต่จุดเด่นคือ จังหวะออกจากโค้งที่ทำได้ค่อนข้างดี แม้จะไม่จี๊ดจ๊าดนัก แต่จุดเด่นคือความคล่องตัว และพวงมาลัยที่มีน้ำหนักดี ควบคุมรถได้แม่นยำ เข้า-ออกโค้งแม่น ช่วยให้รถเกาะอยู่กับโค้งได้ดี
นี่ก็เป็นอีกรุ่นถ้าหากลงแทรคสนามที่เล็กกว่านี้ น่าจะสนุกมากทีเดียว
แต่ทั้งหมดที่ได้ขับในแทร็คแบบนี้ ทำให้รู้ถึงจุดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ว่าจะเป็นรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ลูกผสม หรือ ไฟฟ้าล้วนก็ตามคือ ช่วงล่างที่นิ่ง เกาะถนนดี พวงมาลัยแม่นยำ ทำให้การขับขี่ในทุกๆ โค้งด้วยความเร็ว ผ่านไปได้ไม่ยาก และนั่นก็น่าจะเป็นข้อความหลักที่สื่อไปยังกลุ่มลูกค้าที่ได้มีโอกาสมาลงแทรคด้วยตัวเองครับ
นอกจากการลองขับในแทรค ก็ยังมีออีกหลายกิจกรรมนอกแทรค เพื่อเรียนรู้อารมณ์ของรถในรูปแบบอื่นๆ ทั้งการลองขับ หรือการลองระบบ และลองใช้ทักษะของตัวเองในการแก้สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการขับแบบจิมคาน่าทั้งบนทางฝุ่นทางดิน หรือ ทางเดิร์ท และทางเรียบ
บนทางเดิร์ท ได้ลองสมรรถนะของอีวี อีกรุ่นคือ iX xDrive40 Sport ใหม่ที่มาพร้อมกับ BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 6.1 วินาที จากมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 326 แรงม้า
เป็นอีวี ที่ออกแบบมารองรับการขับแบบออฟโรดแบบจริงจังได้ เพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างปรับระดับได้ให้เหมาะสมกับเส้นทาง
จุดเด่นของ อีวี กับการขับแบบนี้ คือ การใช้แรงบิดในจังหวะดึงรถออกจากจุดคับขัน หรือจุดที่ต้องลดความเร็วอย่างอย่างรวดเร็ว และความสามารถในการตะกุยของล้อทั้ง 4 กับพื้นผิวลื่นๆ เลอะแบบนี้
เป็นรถที่ออกตัวได้เร็ว และเข้าโค้งกับทางลื่นๆ แบบนี้ได้ค่อนข้างคมด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยรวมแล้วถือว่าขับได้สนุกทีเดียว แต่อย่างเดียวทีี่ผมไม่ชอบคือพวงมาลัยแบบหกเหลี่ยมของมัน
ขณะที่ 330e M Sport ถูกส่งลงมาลุยสนามจิมคาน่าทางเรียบ กับการออกแบบเส้นทางโหดๆ อย่างน้อย 2 ช่วง คือมุมเลี้ยวที่เป็นมุมแหลม 45 องศา และ 90 องศา กับทางโค้งตัวเอสที่พื้นผิวค่อนข้างลื่น มีจุดที่ตั้งกรวยให้สลาลอมด้วยความเร็วค่อนข้างสูง
แต่ต้องถือว่ามันจัดการได้ดี เมื่อใส่ไปด้วยความเร็วเพราะต้องการได้เวลาดีๆ เอาไว้ขิงเพื่อนๆ มันจึงเกิดอาการโอเวอร์สเตียร์แทบจะตลอดเส้นทาง แต่จุดเด่นของมันคือ การแก้อาการที่ทำได้ง่ายนี่แหละครับ
เพราะฉะนั้นก็ถือเป็นรถบ้านที่ใช้งานทั่วไปที่น่าสนใจ เพราะหากเจอสภาพถนนหนทางลื่นๆ โดยบังเอิญและไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน ก็ยังสามารถประคองรถได้
330e M Sport ยังได้รับเกียรติให้ลงสนามจำลองเหตุการณ์โอเวอร์สเตียร์ วิธีการก็คือ ราดน้ำให้ลื่นๆ ปลด DSC ออก และเมื่อถึงจุดที่พื้นผิวลื่น ก็หักพวงมาลัยให้สุดแขน หรือประมาณครึ่งรอบ พร้อมกับกดคันเร่งแบบกระทืบลงไป แน่นอนกำลังทั้งหมดถูกส่งไปที่ล้อล้อที่ลื่นๆ โดยไม่ถูกลดทอน เพราะปิด DSC ดังนั้นคันไหนก็คันนั้นหมุนแน่นอน แบบ 180 องศา
จากนั้นเราก็ลองดูสิว่า ขับแบบเดิม แล้วแก้อาการมัน โดยการใช้พวงมาลัยกับคันเร่ง เมื่อรถเริ่มหมุนได้ 90 องศา โดยยังปิด DSC อยู่เช่นเดิมจะได้ไหม ผลออกมาคือ ได้ครับ
และจากนั้นก็ลองเปิด DSC ทีนี้แทบไม่ต้องทำอะไร เพราะระบบมันจัดการให้ เริ่มจากตัดกำลังที่ส่งไปยังล้อเมื่อเพบว่าลื่น และจัดการเบรกในล้อต่างๆ ที่เหมาะสม
เป็นการเรียนรู้การทำงานของระบบที่มีมาให้ และเรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดด้วยตัวเองครับ