เกรท วอลล์ ลั่น 3 ปี Top 3 ตลาด xEV เสริมรถ 15 รุ่น ภายในปี 68
เกรท วอลล์ มอเตอร์ (Great Wall Motor) ดำเนินธุรกิจในไทยครบ 3 ปี โดยสามารถสร้างยอดขายเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ก่อนกางแผนอนาคต เตรียมเสริมรถใหม่ ขยาย Partner Store ตู้ชาร์จ สานแผนขึ้นแท่น ท็อป 3 ตลาด xEV
ปี 2566 ที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มียอดขายในประเทศไทย 12,840 คัน เพิ่มขึ้น 11% ซึ่งสวนทางกับตลาดรวมที่หดตัวประมาณ 9%
ส่วนปี 2567 เกรท วอลล์ ประเมินภาพรวมตลาดรถยนต์ขยายตัวประมาณ 6% อยู่ในระดับ 820,000 คัน
โดยกลุ่มรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าหรือ xEV จะเติบโตประมาณ 40% หรือคิดเป็น 33 % ของตลาดทั้งหมด มียอดขายประมาณ 270,000 คัน
นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้า 100% หรืออีวี (EV) จะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากนโยบายการสนับสนุนของภาครัฐ หรือ EV 3.5 และการเข้ามาของแบรนด์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
โดยคาดการณ์ว่าจะมียอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 130,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 16% ของตลาดรวมเพิ่มขึ้นเกือบ 70% จากปี 2566
และในส่วนของ เกรท วอลล์ ตั้งเป้าเติบโตเกือบ 2 เท่าตัว คือ 25,0000 คัน
สิ่งที่ทำให้เกรท วอลล์ มั่นใจว่าจะเติบโตได้สูงมาจากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องของทิศทางการเติบโตที่มีอย่างต่อเนื่อง การได้รับความมั่นใจ และเชื่อถือจากลูกค้าหลังจากมีประสบการณ์ในการทำตลาดประเทศไทย 3 ปี
นอกจากนี้ก็ยังเป็นผลจากแผนธุรกิจที่จะทำหลายอย่างในปีนี้ ทั้งการเริ่มต้นทำตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือ อีวี (EV) รุ่นประกอบในประเทศ (CKD) อย่างเป็นทางการ
ขณะที่เครือข่ายการทำตลาด หรือ Partner Store ซึ่งปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งแล้ว 81 แห่ง เปิดดำเนินการแล้ว 69 แห่ง ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ปีนี้มีแผนแต่งตั้งเพิ่มและเปิดให้ครบ 101 แห่ง
โดยรูปแบบของ Partner Store จะมีความหลากหลาย รวมถึงเป็นสาขาขนาดเล็ก (S) เปิดบริการตามอำเภอต่างๆ และ XS ที่จะเปิดบริการในพื้นที่อำเภอรอง เพื่อให้เข้าถึงลูกค้ามากที่สุด โดยรูปแบบของโชว์รูมหรือศูนย์บริการจะมีทั้งตั้งอยู่ภายในสถานีบริการน้ำมัน และอาคารพาณิชย์
ด้านการบริการหลังการขาย และการดูแลลูกค้าจะขยายคลังอะไหล่เพิ่มขึ้น พร้อมการส่งมอบที่รวดเร็วในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใน 3 ชม. และต่างจังหวะภายในเวลา 1 วัน
ในส่วนของการให้บริการลูกค้า อีวี ปีนี้จะเปิดเพิ่มสถานีชาร์จเร็ว (Quick Charge) ให้ได้ 55 แห่ง
ด้านตลาดฟลีท (fleet) ที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2566 ปัจจุบันมีลูกคาองค์กร 60 ราย ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา ธุรกิจรถเช่า โดยส่งมอบรถให้ลูกค้าในตลาดปีกว่า 1,200 คัน ในปี 2566 และปีนี้มีแผนที่จะขยายเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนลูกค้าและจำนวนรถ ซึ่งจะส่งผลต่อยอดขายที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในส่วนของผลิตภัณฑ์ เกรท วอลล์วางแผนเปิดตัวรถรวม 15 รุ่น ซึ่งเป็นรถที่มีพลังงานไฟฟ้าขับเคลื่อน (xEV) เช่น อีวี ไฮบริด ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ทั้งรุ่นใหม่และปรับโฉม ภายในปี 2568
ส่วนปี 2567 นี้ จะเปิดตัวอย่างน้อย 3 รุ่น
ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดนี้จะทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายในปีนี้เติบโตอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังผลักดันเป้าหมายในปี 2569 คือ การขึ้นสู่ ท็อป 3 ตลาด xEV
ณรงค์ สีตลายน กรรมการผู้จัดการ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่เข้ามาจุดกระแสและผลักดันอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เติบโตเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ก็ยังนำรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบใหม่ หรือ New Retail Business ด้วยนโยบายราคาเดียว หรือ One Price Policy มาใช้ และเป็นมาตรฐานใหม่ของระบบการขายของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ
“นอกจากนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยในปีที่ 3 ด้วยการบรรลุ Mission 9 in 3 หรือการเปิดตัวรถยนต์ครบ 9 รุ่น ภายในระยะเวลา 3 ปี”
นอกจากนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ยังเผยถึงเป้าหมายสำคัญของบริษัทฯ ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำ 3 อันดับแรกของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ภายใน 3 ปี โดยตั้งเป้ายอดขายในปี 2567 อยู่ที่ 25,000 คัน และวาง 3 กลยุทธ์หลักเพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ได้แก่
วุฒิกร สุริยะฉันทนานนท์ รองประธานฝ่ายการตลาด เกรท วอลล์ มอเตอร์ ภูมิภาคอาเซียน กล่าวว่า ปัจจุบัน เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขยายเครือข่ายการลงทุนในภูมิภาคต่าง ๆ รอบโลกอย่างต่อเนื่อง เช่น ยุโรป อเมริกาเหนือ และเอเชีย
ปัจจุบันเกรท วอลล์ มีโรงงานผลิตรวม 13 แห่ง มีสาขากว่า 700 สาขา ครอบคลุมกว่า 170 ประเทศ
ปี 2566 เกรท วอลล์ มียอดขายรถยนต์ทั่วโลก 1.23 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นปีที่ 8 ที่มียอดขายมากกว่า 1 ล้านคันต่อเนื่อง
“นอกจากนี้ ภายในระยะเวลา 3 ปี บริษัทยังได้ขยายการดำเนินธุรกิจสู่ตลาดภูมิภาคอาเซียน 9 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย ลาว สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม และกัมพูชา ถือเป็นแบรนด์รถยนต์จีนรายแรกที่มีการขยายธุรกิจครอบคลุมตลาดหลักในภูมิภาคอาเซียนได้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม”