นิสสัน ลุย 'เซเรน่า อี-พาวเวอร์' เครื่องใหม่ ประเดิมภายในนิวเจนฯ

ปี 2567 ในงาน มหกรรมยานยนต์ นิสสัน สร้างความเคลื่อนไหวด้วยการเปิดตัว นิสสัน เซเรน่า (Nissan Serena) คอมแพคท์ เอ็มพีวี เวอร์ชั่น mild hybrid วันนี้พร้อมแล้วกับ e-Power
นิสสัน เซเรน่า (Nissan Serena) คอมแพคท์ เอ็มพีวี เป็นรถรุ่นหนึ่งที่ผู้บริโภคชาวไทยสนใจ โดยก่อนหน้านั้นมีผู้ทำตลาด คือกลุ่มผู้นำเข้าอิสระรายย่อย
การเปิดตัว เซเรน่า เป็นหนึ่งในแผนธุรกิจของนิสสัน ประเทศไทย ที่ผู้บริหารระบุไว้ก่อนหน้านั้นว่าจะเพิ่มความหลากหลาย เพิ่มตัวเลือกสินค้าให้ผู้บริโภคมากขึ้น
ทั้งนี้การเปิดตัวในงานมหกรรมยานยนต์ปี 2567 ที่ผ่านมา เป็นการเปิดตัวรุ่น เอส ไฮบริด (S Hybird) ซึ่งใช้เทคโนโลยี Mild Hybrid ราคา 1,460,000 บาท
แต่ที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในช่วงเวลานั้น บนเวทีมหกรรมยานยนต์คือ นิสสัน มีเซเรน่า อี-พาวเวอร์ (Serena e-Power) มาจอดโชว์เคียงข้างกัน แต่ไม่ได้เปิดจำหน่าย
จะว่าไปก็ถือว่านิสสัน แฟร์ดี ขายตัวเดิม แต่ก็บอกให้ลูกค้าว่าในอนาคตจะมีเวอร์ชั่น อี-พาวเวอร์ เข้ามาทำตลาด ก็อยู่ที่การตัดสินใจของผู้บริโภคว่าจะตัดสินใจอย่างไร จะซื้อเลย หรือว่าจะรอ ซึ่งก็มีผู้ที่ตัดสินใจซื้อ เอส ไฮบริด ไปไม่น้อยเช่นกัน
และเมื่อถึงงานบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ปี 2568 นิสสันก็พร้อมเปิดตัว เซเรน่า อี-พาวเวอร์
เซเรน่าอี-พาวเวอร์ มาพร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่สีดำเงา พร้อมแถบโครเมียมแบบ Next Generation V-Motion กันชนหน้า กันชนหลังออกแบบให้เป็นสเกิร์ตล่างในตัว
ไฟหน้า และไฟท้าย Full LED มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ทูโทน ติดตั้งสปอยเลอร์หลังคา และสปอยเลอร์ด้านข้างแบบสปอร์ต ซึ่งนอกจะมีผลต่อมุมมองที่โฉบเฉี่ยวแล้ว ยังทำให้มีค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือ Cd ที่ดีขึ้น โดยนิสสันระบุว่ามีเสียงรบกวนขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงลดลง
ห้องโดยสาร ออกแบบเจนฯ ใหม่ ใช้ในเซเรน่ารุ่นแรก
ภายในห้องโดยสารเป็นเจนเนอเรชั่นใหม่ โดยเซเรน่า เป็นรุ่นแรก ซึ่งในอนาคตจะได้เห็นรูปแบบนี้ตามมาอีกหลายรุ่น
รวมถึงการให้รายละเอียดกับการมีผลต่อการขับขี่ เช่น เสา A ออกแบบใหม่ ให้ลดการรบกวนผู้ขับขี่ หรือเบาะนั่งแถวที่ 3 ที่เมื่อพับแล้ว ตำแหน่งการแขวนจะไม่บังกระจกด้านหลัง
การออกแบบอุปกรณ์ และปุ่มกดต่างๆ เน้นการใช้งานที่สะดวก เอื้อมถึงได้ง่าย
ด้านผู้ขับขี่หน้าจอแสดงข้อมูลแบบ TFT ขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว พร้อมกราฟฟิกเคลื่อนไหวแบบ 3 มิติ โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกการแสดงผลได้ 2 รูปแบบ ลือกโฮมสกรีนในรูปแบบที่ต้องการได้ ส่วนจอมอนิเตอร์กลางขนาด 12.3 นิ้วเช่นกัน
รวมทั้งยังมีปุ่ม Camera สำหรับระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง หรือ Intelligent Around View Monitoring (IAVM) ซึ่งทำให้ง่ายต่อการใช้งานเมื่อผู้ขับขี่ต้องการมองเห็นภาพรอบตัวรถครบทุกทิศทาง เพิ่มความปลอดภัย โดยไม่ต้องไปกดหาฟังก์ชั่นควบคุมการทำงานที่ซับซ้อน
โดยกล้อง และจอ เป็นเวอร์ชั่นใหม่ เพิ่มความละเอียดมากขึ้น
มีฟังก์ชั่นการเชื่อมต่อแบบไร้สายทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มาให้
ห้องโดยสารกว้างที่สุดในคลาส ปรับได้ 13 รูปแบบ
นิสสัน ยืนยันว่า เซเรน่า อี-พาวเวอร์ มีห้องโดยสารที่กว้างขวางมากที่สุดในกลุ่มรถแบบเดียวกัน เป็นรถแบบที่นั่ง 3 แถว โดยที่นั่งแถวที่ 2 เป็นแบบ Captain seat ปรับได้อิสระ 4 ทิศทาง สามารถเลื่อนหน้า-หลัง เลื่อนซ้าย-ขวาได้ พร้อมม่านบังแดด
เบาะนั่งแถวที่ 3 รองรับผู้โดยสาร 3 คน สามารถปรับพนักพิงให้เอนราบได้รวมถึงปรับเลื่อนได้เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง หรือจัดเก็บสัมภาระ
ทั้งนี้การปรับเบาะนั่ง ทำได้13 รูปแบบ เช่น การรองรับการขนกระเป๋าหรือสัมภาระชิ้นยาว การเพิ่มความสะดวกสบายของผู้โดยสาร หรือจะพับราบเป็นห้องนั่งเล่นของคนในครอบครัว
กระจกบานใหญ่รอบคัน ช่วยเพิ่มความโปร่งโล่งในห้องโดยสารมากขึ้น โดยกระจกบังลมหน้า และกระจกหน้าต่างคู่หน้า เป็นแบบ Acoustic Glass 2 ชั้น เพื่อช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอก ส่วนกระจกหน้าต่างผู้โดยสารตอนหลังเป็นแบบ UV Cut ช่วยลดความร้อน และรังสี UV
จุดเด่นในการใช้งานอีกอย่างหนึ่งคือ ประตูสไลด์อัตโนมัติแบบแฮนด์ฟรีทั้ง 2 ด้าน ควบคุมการเปิด-ปิด ได้จากสวิตช์ควบคุมที่ติดตั้งอยู่หลายตำแหน่ง รวมถึงบริเวณแถวนั่งที่ 3
รวมถึงยังมีเซนเซอร์แฮนด์ฟรีใต้ห้องโดยสารบริเวณเสากลาง ควบคุมด้วยการยื่นเท้าไป ประตูรถจะเลื่อนเปิดอัตโนมัติเพิ่มความสะดวกแก่ผู้โดยสาร และหากจะสั่งให้ปิดประตูด้วยวิธีนี้ก็ได้เช่นกัน
และยังมีไฟ Ambient Light เอาไว้สร้างบรรยากาศที่บริเวณประตูสไลด์ให้อีกด้วย
และด้วยการออกแบบให้เป็นรถสำหรับครอบครัว เซเรน่าอี-พาเวอร์ จึงออกแบบให้มีที่วางแก้ว 17 มีจุดช่อง USB ทุกแถวที่นั่งรวม 6จุด เป็น USB-C 5 จุด และ USB-A อีก 1 จุด พร้อมที่ชาร์จไฟแบบไร้สาย 1 ตำแหน่ง
ที่เบาะนั่งแถวที่ 2 และ 3 มีโต๊ะขนาดเล็กอเนกประสงค์ไว้ให้ใช้งานที่หลังเบาะด้านหน้า จะวางสิ่งของ เช่น กล่องอาหารหรือแทบเล็ต ก็จัดไปได้เลย
ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติแยก 3 โซน สามารถปรับอุณหภูมิสำหรับแต่ละโซนได้ตามต้องการ และระบบฟอกอากาศแบบ Plasmacluster ที่จะปล่อยอนุภาคขนาดเล็กออกมาเพื่อดักจับแบคทีเรียในอากาศ ฝุ่น และกลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่วยลดฝุ่น PM2.5
ฝาท้าย 2 ชั้น
นิสสัน ออกแบบฝาท้ายเซเรน่า อี-พาวเวอร์ให้เป็นแบบ Dual Back Door ซึ่งถือเป็นรุ่นเดียวในตลาดรถยนต์แบบ MPV ด้วยความที่รถในรูปแบบนี้มีความสูง ฝาท้ายจึงมีขนาดความสูงตามไปด้วย ดังนั้นหากเปิดขึ้นมาจะกินพื้นที่ไปทางท้ายรถไม่น้อย ดังนั้นหากจอดในบางพื้นที่ที่ด้านหลังไม่ได้โล่งมาก ก็เกิดปัญหาในการเปิดท้าย
ซึ่ง Dual Back Door สามารถเลือกเปิดเฉพาะช่วงครึ่งบนเพื่อขนถ่ายสัมภาระได้ โดยใช้พื้นที่ไม่มากนัก
ประโยชน์อีกด้านหนึ่งต่อให้มีพื้นที่ดานหลังเหลือเฟือจากการเปิดเฉพาะครึ่งบนคือป้องกันไม่ให้สัมภาระไหลตกลงมาได้หากเปิดแบบเต็มบานในทันที
เครื่องยนต์ใหม่ ประเดิมกับ เซเรน่า รุ่นแรก
ทางด้านขุมพลัง อี-พาวเวอร์ เครื่องยนต์ที่สร้างพลังงานไฟฟ้ามีขนาดใหญ่ขึ้นหากเทียบกับ คิกส์ อี-พาวเวอร์ เพราะรับน้ำหนักรถที่มากกว่า เป็นเครื่องยนต์รหัส HR14DDe ที่ไม่เคยใช้ในรุ่นใดมาก่อน นำมาใช้กับ เซเรน่า เป็นรุ่นแรก
มีความจุ 1.4 ลิตร รองรับน้ำมัน E10 และใช้เทคโนโลยี Mirror Bore Coating เพื่อช่วยลดแรงเสียดทานและลดเสียงจากการสั่นสะเทือน ทำให้เครื่องยนต์เดินได้เรียบและเงียบมากขึ้น
ขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าตัวขับเคลื่อนให้กำลังสูงสุด 163 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 315 นิวตันเมตร ส่วนแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ขนาดความจุ 1.77 kWH
e-Pedal ใช้ได้ทุกโหมดขับขี่
เซเรน่า อี-พาวเวอร์ มีระบบ อี-เพดัล สเต็ป (e-Pedal Step) ที่สามารถควบคุมการขับขี่ด้วยแป้นคันเร่งแป้นเดียว แต่ครั้งนี้นิสสันทำให้มันง่ายขึ้น ด้วยการทำให้มันสามารถใช้งานในทุกโหมดขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น eco, standard หรือ sport โดยมีปุ่มกดเฉพาะทำให้ง่ายต่อการเลือกใช้งาน หรือเมื่อเลิกใช้งานด้วยการกดปุ่มปิด
โดยการปิดทำงานเป็นค่าที่เซ็ทมาจากโรงงาน (default)
และโหมดขับขี่ยังมีฟังก์ชัน B ที่จะเพิ่มแรงหน่วงหรือช่วยเบรกและเพิ่มชาร์จกลับพลังงานหรือ Regenerative รวมถึง EV Mode เอาไว้ให้เลือกใช้เมื่อไม่ต้องการให้เครื่องยนต์ทำงานในช่วงเวลานั้น ๆ
จอด เข็นได้
เกียร์เป็นแบบปุ่มกดแทนคันเกียร์ ทำให้การออกแบบภายในดูโปร่งโล่งสะอาดตามากขึ้น
นิสสัน เซเรน่า ยังมี N Hold Mode หรือการปลดเกียร์ว่างขณะจอดได้ ทำให้สะดวกต่อการใช้งาน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าคนใช้รถจำนวนมากไม่สามารถหาที่จอดรถแบบจอดเข้าซองได้
เบรกมือเป็นแบบไฟฟ้า พร้อม Auto Brake Hold ที่เพิ่มความสะดวกในการขับขี่ ไม่ต้องเหยียบเบรกแช่ไว้ทุกครั้งเมื่อจดติดไฟแดง
นิสสัน เซเรน่า อี-พาวเวอร์ ใช้ช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม คอยล์สปริง โดยนิสสันระบุว่าพัฒนาระบบกันสะเทือน ทั้งชิ้นส่วนต่างๆ และเหล็กกันโคลง ให้มีความแข็งแรงมากขึ้น ใข้ช็อคแอบซอร์เบอร์แบบใหม่ ที่จะให้นุ่มนวลเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ และการทรงตัวที่ดีเมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูง เข้าโค้งได้แม่นยำมากขึ้น
ระบบเบรกเป็น ดิสก์เบรกพร้อมครีบระบายความร้อน 4 ล้อ
ตรวจจับรถล่วงหน้า 2 คัน
ด้านเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่และความปลอดภัย ติดตั้ง 360° Nissan Safety Shield ทั้งระบบ Active Safety และ Passive Safety เช่น
- ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Intelligent Forward Collision Warning : IFCW) ซึ่งที่น่าสนใจคือ การตรวจจับรถยนต์ด้านหน้า 2 คัน ด้วยเรดาร์ ทำให้การเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์หรือการเตือนผู้ขับทำได้เร็วขึ้น และดีขึ้นกว่าการตรวจจับแค่คันที่อยู่ข้างหน้าคันเดียวเท่านั้น
โดยเมื่อรถคันที่ 2 ด้านหน้าเบรกที่เสี่ยงต่อการชน ระบบจะเตือนผู้ขับให้ทราบล่วงหน้า แม้ผู้ขับจะมองไม่เห็นก็ตามแต่ผู้จะสามารถเบรกหรือหลบหลีกได้ทัน
- ระบบเบรกฉุกเฉิน (Intelligent Forward Emergency Braking : IEB) ช่วยลดความเสี่ยงจากการชนด้านหน้า
- ระบบเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning – BSW) ที่กระจกมองข้างและการส่งเสียงเตือน
- ระบบ (Intelligent Blind Spot Intervention : IBSI) ทำงานเมื่อรถออกนอกช่องทางขณะระบบ BSW กำลังเตือน โดยพวงมาลัยจะขยับเพื่อคุมรถให้กลับเข้าช่องทางเดิม
- รบบตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย หรือ Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
- ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกช่องทาง หรือ Lane Departure Warning (LDW)
- ระบบ Intelligent Lane Intervention (ILI) เมื่อรถออกนอกช่องทางขณะที่ ระบบ LDW กำลังเตือน พวงมาลัยจะคุมรถให้กลับเข้าช่องทางเดิม ระบบ Intelligent Cruise Control (ICC)
- ระบบ Intelligent Rear View Mirror (IRVM) กระจกมองหลังแสดงภาพที่ส่งมาจากกล้องที่ติดตั้งบนกระจกบานหลัง กรณีที่ไม่สามารถมองผ่านกระจกมองหลังได้
- ระบบ Emergency Stop Signal (ESS) ไฟเบรกท้ายและไฟเลี้ยวหลังจะกะพริบทันทีเมื่อเหยียบเบรกกะทันหัน
- ระบบ High Beam Assist (HBA) ปรับระบบไฟอัตโนมัติ
- กล้องมองภาพรอบทิศทางหรือ Intelligent Around View Monitor (IAVM) พร้อมระบบตรวจจับวัตถุเคลื่อนไหว Moving Object Detection (MOD) ที่ให้มุมมองจากด้านบน เห็นสภาพถนน และการจราจรรอบคัน และเตือนผู้ขับขี่เมื่อตรวจพบวัตถุเคลื่อนที่รอบคัน
- ระบบช่วยเตือนเมื่อผู้ขับเหนื่อยล้า (Intelligent Driver Alertness – IDA) ที่ติดตามและคอยเตือนให้ผู้ขับขี่หยุดพักเมื่อเริ่มเหนื่อยหรือล้า
- ถุงลม 6 ตำแหน่ง ที่คู่หน้า ด้านข้าง และ ม่านถุงลมด้านข้าง
- จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่ง (บริเวณเบาะนั่งแถวที่ 2 )
- เบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Brakeforce Distribution – EBD)
- ระบบช่วยเบรก (Brake Assist - BA)
- ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (Vehicle Dynamic Control - VDC)
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี (Traction Control System - TCS)
- ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาด (Hill Start Assist - HSA)
- ระบบเสียงเตือนคนเดินถนน (Vehicle Sound for Pedestrian -VSP)
- ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทออกห่างจากรถ (Walk-Away Door Lock)
- ระบบปลด ล็อกอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทเข้าใกล้ตัวรถ (Approach Unlock)
เพิ่มระบบความปลอดภัยจาก เอส-ไฮบริด
สำหรับระบบความปลอดภัยทั้งหมดที่มีอยู่ในรุ่น อี-พาวเวอร์ สิ่งที่เพิ่มขึ้นจาก เอส ไฮบริด คือ
- กล้อง ที่ลิงค์กับเซ็นเซอร์รอบคัน โดยกล้องจะเปิดอัตโนมัติ
- ระบบสแกนรถคันที่ 2 ด้านหน้า
- ระบบดึงรถกลับด้วยพวงมาลัย
- กระจกองหลัง IRVM
สำหรับการเปิดตัวในไทย นิสสัน เซเรน่า อี-พาวเวอร์ มี รุ่นย่อยเดียวคือ Highway Star มีสีตัวถังให้เลือก 6 สี ได้แก่
สีฟ้าเทอร์คอยส์บลู หลังคาดำ, สีขาวปริซึมไวท์ หลังคาดำ, สีขาวปริซึมไวท์, สีดำไดมอนด์แบล็ค, สีเทากันเมทาลิก และสีเงินบริลเลียนท์ ซิลเวอร์