ลองขับก่อนขาย “ฮอนด้า แอคคอร์ด”
เตรียมเปิดตัว มี.ค. 2 ขุมพลัง 1.5 เทอร์โบ และ 2.0 ไฮบริด
ปลายปีที่แล้ว ฮอนด้า นำ “แอคคอร์ด ใหม่” มาแสดงในงานมหกรรมยานยนต์ เพื่อส่งข้อความถึงลูกค้าว่าใกล้ถึงเวลาของ แอคคอร์ด เจเนอเรชั่นที่ 10 กับตลาดเมืองไทยแล้ว ในช่วงเวลาที่คู่แข่งสำคัญอย่างโตโยต้า คัมรี กำลังร้อนแรงหลังจากเปิดตัวไปก่อนหน้านั้นไม่นานนัก แต่การเผยโฉมของแอคคอร์ด ที่แม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียดของสเปครถ หรือแม้แต่ประตูทั้ง 4 บาน จะปิดล็อคแน่นหนา ไม่ได้เปิดให้ใครดู แต่อย่างน้อย การสื่อสารว่ารถใกล้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ใครที่อยากได้รถในตลาด ดี-เซ็กเมนต์ และยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกในขั้นตอนสุดท้าย ก็คงมีไม่น้อยที่จะชะลอออกไปก่อน
แอคคอร์ด ใหม่ มีกำหนดเปิดตัวในช่วงต้นปีนี้ แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ผมมีโอกาสได้มาลองขับก่อนที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐ ซึ่งสาเหตุที่เลือกสหรัฐ เพราะมีรถอยู่ที่นี่ โดยสหรัฐเป็นประเทศแรกที่เปิดตัว และที่ผ่านมา สหรัฐจัดเป็นตลาดสำคัญของฮอนด้า
ฮอนด้านำรุ่นที่จะจำหน่ายในไทยทั้ง 2 รุ่น มาให้ลองขับกัน คือ 1.5 ลิตร Di VTEC TURBO และเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร พร้อมระบบ Sport Hybrid i-MMD
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ การมาของเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เทอร์โบ ที่จะมาแทนที่เครื่องยนต์ 2.0 และ 2.4 ลิตร ที่ติดตั้งอยู่ในแอคคอร์ด รุ่นปัจจุบัน
แอคคอร์ด มาพร้อมกับเทคโนโลยี ที่จะใช้เป็นจุดขายหลายๆ อย่าง และแน่นอนหนึ่งในนั้นคือสิ่งที่ใช้มาก่อนหน้านี้ ก็คือ “ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง” (Honda SENSING) โดยเพิ่มเติมบางสิ่ง และปรับปรุงบางสิ่งให้ทำงานได้ดีขึ้น ประกอบไปด้วย
ระบบเตือนการชนรถและคนเดินถนนพร้อมระบบช่วยเบรก (Collision Mitigation Braking System: CMBS)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ (Adaptive Cruise Control with Low-Speed Follow: ACC with LSF)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ (Lane Keeping Assist System: LKAS)
ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ (Road Departure Mitigation with Lane Departure Warning : RDM with LDW)
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Auto High-Beam: AHB) รวมไปถึงระบบกล้องส่องภาพรอบทิศทาง (Multi-view Camera System) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะพร้อมระบบช่วยเบรก (Honda Smart Parking Assist System) และ ระบบเตือนเมื่อรถยนต์เคลื่อนผ่านขณะถอย (Cross Traffic Monitor) ช่วยเพิ่มความสะดวก หลอดภัยในการถอยที่อับสายตา
ส่วนรูปลักษณ์หน้าตา ฮอนด้าปรับแนวทางการออกแบบพอควร พยายามเพิ่มความสปอร์ตให้มากขึ้น ผ่านเส้นสายต่างๆ โดยเฉพาแส้นสายหลังคาที่ลาดลงด้านท้าย ให้อารมณ์เหมือนรถคูเป้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวทางการทำตลาดของรถที่เป็น โกลบอล โมเดล คันนี้ คือ จับกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนหนุ่มคนสาวมากขึ้น ใช้รถส่วนตัวได้ ขณะเดียวกันก็ยังคงจุดขายในเรื่องอื่นๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ทั้งการเป็นรถครอบครัว หรือว่ารถผู้บริหาร รถองค์กร
การทำให้รถมีรูปทรงภายนอกให้อารมณ์สปอร์ต แต่ขณะเดียวกัน ภายในห้องโดยสารนั้นกว้างขึ้นครับ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ระยะฐานล้อที่เพิ่มความยาวชี้น ความกว้างช่วงล้อเพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ช่วงขา ช่วงเข่าของผู้โดยสารด้านหลังที่เห็นได้ชัดเจน
ส่วนหลังคาที่ลาดลง ก็ไม่ส่งผลกระทบกับผู้โดยสารตอนหลัง เมื่อนั่งแล้วก็ยังมีพื้นที่เหนือศีรษะอยู่มาก โปร่งโล่ง ไม่อึดอัด จะมีปัญหาอยู่บ้างก็คือคนตัวสูงในช่วงเข้า-ออก ต้องก้มศีรษะลงมากๆ สักหน่อย ไม่อย่างนั้นอาจชนกับขอบหน้าต่างได้ แต่ว่าเมื่อเข้าไปนั่งแล้ว ก็หมดปัญหา นั่งได้สบาย และเบาะนั่งแถวหลัง แม้จะปรับเอนพนักพิงไม่ได้ แต่ว่าการออกแบบ และองศาการเอียงอยู่ในระยะที่พอดี นั่งได้สบาย ไม่เมื่อย
ย้อนกลับมาที่การขับขี่ครับ เส้นทางที่ฮอนด้าจัดไว้ เป็นเส้นทางที่เลียบมหาสมุทรแปซิฟิกที่สวยงาม มีทางขึ้นลงเนิน ทางโค้ง ให้ได้ลองสมรรถนะด้านต่างๆ อยู่บ้าง แม้ระยะทางโดยรวมไม่มากนัก เนื่องจากข้อจำกัดของจำนวนสื่อ กับรถที่มีอยู่ 2 คัน 2 รุ่น และต้องขับให้ครบทั้ง 2 รุ่น รวมถึงข้อจำกัดด้านความเร็ว ซึ่งหลายคนคงรู้ดีในความเข้มงวดของกฎหมายของสหรัฐ และในพื้นที่ทดสอบนี้ สูงสุดอยู่ที่ 45 ไมล์/ชม. แต่ก็มีบางช่วงที่แอบๆ ขยับขึ้นไปถึง 56-57 ไมล์ บ้างเหมือนกัน ที่กล้าทำอย่างนั้น เพราะเจ้าหน้าที่ฮอนด้า อเมริกา จัดมานั่งคู่ไปด้วย เขาเฉยๆ ไม่ว่าอะไรนั่นเองครับ
แม้ระยะทางไม่ไกล และความเร็วไม่สูงมาก แต่ด้วยสภาพเส้นทางที่ไม่ได้เป็นเพื้นราบ เป็นเหมือนทางไหล่เขาเลาะเลียบมหาสมุทร จึงมีทางโค้งทางเนินมาก และเป็นทางแคบๆ 2 เลนสวนทางก็เยอะ ดังนั้นก็ทำให้รับรู้ในอารมณ์บางอย่างได้ เช่น ระบบช่วงล่าง ซึ่งแน่นทีเดียว เข้าโค้งได้แม่นยำ ไม่ขาดไม่เกิน และอีกจุดหนี่งที่ชอบก็คือ การโยนตัวของตัวถังมีน้อยมาก เป็นจุดหนึ่งที่ฮอนด้าพัฒนาขึ้นมาในรุ่นนี้ และน่าจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้ขับขี่ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบอารมณ์สปอร์ต เพราะควบคุมรถได้ง่าย ขับแล้วไม่เครียด
แถมการขับครั้งนี้มีของแถมมาท้าทายช่วงล่าง ก็คือ สายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างน่าแปลกใจ เพราะว่าเจ้าหน้าที่ที่นี่บอกว่าปกติไม่มีฝน ไม่รู้มาได้อย่างไร
ทำให้ผมอดคิดถึงเนื้อเพลง “It Never Rains in Southern California” อยากรู้จริงๆ ว่าใครนะที่แต่งเพลงนี้
แต่ฝนก็ไม่สร้างปัญหากับช่วงล่างแต่อย่างใด
สำหรับความแตกต่างของช่วงล่างทั้ง 2 รุ่น รุ่น 1.5 เทอร์โบ ดูให้อารมณ์สปอร์ตมากกว่า มีความกร้างมากกว่า รุ่น ไฮบริด
ด้านขุมพลังสำหรับ 1.5 เทอร์โบ ซึ่งจะมาแทนที่เครื่องยนต์ 2.0 และ 2.4 ลิตรในรุ่นปัจจุบัน เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในซิวิค แต่ปรับให้เหมาะสม ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีคำถามว่า เมื่อมาอยู่ในตัวถังที่ใหญ่ขึ้น จะไหวไหม
แต่ว่าถ้าดูตามสเปคที่ขายในอเมริกาให้กำลัง 192 แรงม้า ซึ่งสูงกว่ารุ่น 2.0 และ 2.4 ลิตรที่ขายในปัจุบัน ซึ่งอยู่ที่ 155 และ 174 แรงม้า
เอาเท่าที่จับความรู้สึกในการขับครั้งนี้ ผมว่าไม่เลว และรับตัวถังแอคคอร์ดได้แน่นอน เพราะดูจากการตอบสนองทั้งการออกตัว ทั้งออกตัวทางราบ หรือออกตัวขึ้นเนิน การเร่งความเร็วทั้งทางราบและทางขึ้นเนิน ตอบสนองได้รวดเร็ว ไม่ค่อยมีจังหวะหน่วงให้รู้สึก ส่วนเกียร์ ซึ่งหันมาใช้เกียร์ ซีวีที ก็ตอบสนองได้ดี ทำงานลื่นไหล ทั้งการเพิ่มความเร็ว และลดความเร็ว ไม่มีจังหวะสะดุดให้รู้สึก ส่วนไฮบริด ตอบสนองดี กระฉับกระเฉง เพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ได้มาก
แต่เรื่องของเครื่องยนต์ จะเอาให้ละเอียดจริงๆ คงต้องรอให้ขับขี่ในเมืองไทย หลังการเปิดตัว ซึ่งไม่เกินเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ เนื่องจากว่าสามารถที่จะลองที่ความเร็วสูงๆ ได้ ขับขี่กันยาวๆ ได้ครับ