มาสด้า 3 ไมเนอร์เชนจ์ เติมออปชั่น สีใหม่ ขยับราคารุ่นล่างเล็กน้อย 1 หมื่น
หลังจากเปิดตัว ช่วงปลายปี 2562 ถึงเวลาที่มาสด้า 3 จะปรับโฉมหรือ ไมเนอร์เชนจ์ ครั้งแรก เพื่อเติมความสดใหม่ รับกับตลาดรถยนต์ที่คาดว่าปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น
การไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ มาสด้า 3 มีเป้าหมายคือ เพิ่มอารมณ์สปอร์ตให้มากขึ้น และการเติมออปชั่น เพื่อสร้างแรงดึงดูดใจผู้บริโภคมากขึ้น และยังมีมีสีใหม่เพิ่มเติม คือ “บรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์”
สำหรับรายละเอียดการเพิ่มออปชั่น ประกอบด้วย
รุ่น 2.0 C และ 2.0 C Sport
- ระบบปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ (AFS)
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED
- ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lamp) แบบ Signature
- ไฟท้าย LED Signature
- ระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง
- กล้องมองหลัง
รุ่น 2.0 S และ 2.0 S Sports
- เซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า
- Sports Paddle Shift
- ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED
- ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลากลางวัน แบบ Signature และ
- ระบบปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ (AFS)
รุ่น 2.0 SP และ 2.0 SP Sports
- หลังคาซันรูฟ ไฟฟ้า
- ระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS ที่อัพเกรดความเร็วขึ้นเป็น 145 กม./ชม.
โดยรวมแล้ว ทำให้ มาสด้า 3 มี ออปชั่นหลักๆ คือ
รุ่น 2.0 C และ 2.0 C Sports
ไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED,ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่เวลา แบบ LED Signature, ระบบปรับองศาไฟหน้าตามการเลี้ยวของรถ AFS, ไฟท้ายแบบ LED Signature, ระบบไฟหน้าปรับระดับสูง-ต่ำ อัตโนมัติ
มาตรวัดดิจิตอล แบบ TFT LCD จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสี MID, หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบสีบนกระจกหน้า, ระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหลัง 4 จุด, หน้าจอสี Center Display ขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมปุ่มควบคุม Center Commander
ระบบควบคุมความเร็วคงที่, ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Hold, กล้องมองหลัง, ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง คือ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมบริเวณหัวเข่าด้านคนขับ ระบบ i-Activsense
รุ่น 2.0 S และ 2.0 S Sports
มีอุปกรณ์ที่เพิ่มขึ้นจาก 2.0 C และ 2.0 C Sport ประกอบด้วย
ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Sports Paddle Shift), ฝาปิดที่วางแก้วน้ำที่คอนโซลกลาง, ระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุด
วัสดุตกแต่งคอนโซลและมือจับประตูด้านในสีเงินโครเมียม, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ Dual Zone ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว
รุ่น 2.0 SP และ 2.0 SP Sports
มีอุปกรณ์เพิ่มเติมจาก 2.0 S และ 2.0 S Sports คือ
หลังคาซันรูฟไฟฟ้ากระจกมองหลังปรับลดแสงอัตโนมัติ, ระบบเสียงคุณภาพสูงจาก Bose รอบทิศทาง ลำโพง 12 ตำแหน่ง, ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง ระบบไฟหน้า LED และ ระบบ i-Activsense
ราคาจำหน่าย มาสด้า 3 ทั้งรุ่นฟาสท์แบค 5 ประตู และซีดาน 4 ประตู เท่ากัน ประกอบด้วย
- รุ่น 2.0 C และ 2.0 C Sports 979,000 บาท
- รุ่น 2.0 S และ 2.0 S Sports 1,069,000 บาท
- รุ่น 2.0 SP และ 2.0 SP Sports 1,198,000 บาท
โดยราคาดังกล่าว เป็นการปรับขึ้น 10,000 บาท สำหรับ รุ่น 2.0 C และ 2.0 C Sports ส่วนรุ่นอื่น ราคาเท่าเดิม
โดยช่วงนี้ มาสด้า มีแคมเปญกระตุ้นตลาดรับการเปิดตัวถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565 ด้วยอัตราดอกเบี้ย 1.99% แถมประกันภัยชั้น 1 Mazda Premium Insurance 1 ปี
อัพเกรดความเร็วสูงสุดของระบบควบคุมความเร็วและพวงมาลัยตามรถคันหน้า CTS สามารถทำงานได้ถึง 145 กม./ชม.
มอบสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยระบบเสียง Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง
ชาญชัย ตระการอุดมสุข ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า มาสด้า 3 มียอดขายเฉลี่ยปรละ 3,000 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10%
โดยรุ่นฟาสท์แบค 5 ประตู ครองความเป็นเจ้าตลาดมาโดยตลอดตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรกจนถึงปัจจุบัน
มาสด้า 3 เริ่มต้นทำตลาดเจเนอเรชั่นแรก ระหว่างปี 2547-2554 มียอดขายสะสมกว่า 30,000 คัน
เจเนอเรชั่นที่ 2 ระหว่างปี 2554-2557 ยอดขายสะสมกว่า 15,000 คัน
เจเนอเรชั่นที่ 3 ที่มาพร้อมสกายแอคทีฟ จำหน่ายระหว่างปี 2557-2563 มียอดขายสะสมกว่า 32,000 คัน
เจเนอเรชั่น 4 เปิดตัวปลายปี 2562 ปัจจุบันมียอดขายสะสมกว่า 8,000 คัน