ปรับมาตรฐานอาชีพ ในยุค Disruptive technology
ทิศทางในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศมุ่งเน้นการพัฒนาคนเป็นหลัก ทั้งนโยบายที่มุ่งไปสู่การเป็น Thailand 4.0
นโยบายของรัฐด้านกำลังคน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ.2560 - 2564) ทำให้ประเทศต้องปรับทิศทางการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยการใช้นวัตกรรมมากขึ้นและพัฒนาคนให้มีความรู้ ทักษะ และความเชี่ยวชาญ แต่การพัฒนาประเทศยังประสบปัญหาความไม่สอดคล้องของตลาดแรงงาน ที่ยังคงมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้นในขณะที่ยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงานระดับกลางในสายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และยังมีแรงงานส่วนเกินในระดับปริญญาตรี อีกทั้งแรงงานมีสมรรถนะ หรือทักษะความสามารถไม่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ
ที่ผ่านมา ได้มีความพยายาม “พัฒนาระบบสมรรถนะ” หรือสร้างมาตรฐานความรู้ ความสามารถของกำลังคนให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ความต้องการของตลาดแรงงานโดยมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่พัฒนาระบบสมรรถนะของประเทศ อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(องค์การมหาชน) และสภา/สมาคมวิชาชีพต่างๆ รวมทั้งภาคเอกชนก็มีส่วนร่วม
แต่คำถามสำคัญคือ ระบบสมรรถนะนั้นถูกพัฒนาปรับปรุงให้สอดคล้องกับทักษะที่ต้องการในอนาคตอย่างไรบ้าง ทั้งด้านเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ การคิดเชิงวิพากษ์ และทักษะในการเรียนรู้ตลอดชีวิต เป็นต้น เพื่อรองรับแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของโลก จากเทคโนโลยีต่างๆ และ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ที่จะทำให้คนตกงานเป็นจำนวนมาก พร้อมกับมีความต้องการงานใหม่ๆ เกิดขึ้น
Carl Benedikt Frey and Michael A Osborne(2013) วิเคราะห์กลุ่มอาชีพความเสี่ยงสูงที่จะถูกเทคโนโลยีทดแทน ไว้ว่า คือ กลุ่มงานที่ทำเป็นประจำซ้ำๆ เช่น งานสายพานการผลิต สามารถโดนแทนที่โดยหุ่นยนต์ประกอบ กลุ่มอาชีพที่ใช้องค์ความรู้และใช้ทักษะ สามารถโดนลดบทบาทหน้าที่โดยเทคโนโลยี big data มาแทนได้ เช่น ในอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพสามารถใช้ฐานข้อมูลใหญ่วินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่าคน อีกทั้งคาดการณ์ว่าประมาณ 47% ของการจ้างงานในสหรัฐจะถูกทดแทนภายใน 10 - 20 ปีข้างหน้า ซึ่งงานที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะถูกทดแทนด้วยคอมพิวเตอร์ค่อนข้างเร็วจะอยู่ในกลุ่มคมนาคมและโลจิสติกส์ กลุ่มสายงานออฟฟิศ กลุ่มแรงงานในสายการผลิต และกลุ่มงานบริการ ขณะเดียวกันข้อมูลจาก WEF พบว่างานใหม่ๆ จะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นอาทิData analysts and scientist, AI and machine learning specialists, Big data เป็นต้น
หากกล่าวถึงหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบสมรรถนะของประเทศไทยคือ สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(องค์การมหาชน) มีหน้าที่ในการจัดทำมาตรฐานอาชีพและพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อให้ได้มาตรฐานอาชีพที่เป็นไปตามความต้องการของผู้ประกอบการ ครอบคลุมกลุ่มเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการให้สามารถเทียบเคียงกับมาตรฐานอาชีพของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนและนานาประเทศ ในสาขาวิชาชีพเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อสถาบันการศึกษานำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน ที่สำคัญคุณวุฒิวิชาชีพยังเป็นประโยชน์โดยตรงต่อกำลังคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีคุณวุฒิการศึกษาระดับสูงแต่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการประกอบอาชีพสามารถอาศัยระบบคุณวุฒิวิชาชีพในการรับรองสมรรถนะที่มีเพื่อต่อยอดอาชีพและการทำงานในอนาคตต่อไปได้
เมื่อพิจารณาถึงกลุ่มอาชีพที่มีการจัดทำสมรรถนะของไทย โดยสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ พบว่ามีการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพแล้วจำนวน 54 สาขาอาชีพ 680 อาชีพ(ข้อมูล ณ วันที่ 16 พ.ค.2562) เมื่อเปรียบเทียบกับอาชีพที่มีความเสี่ยงที่จะถูกเทคโนโลยีทดแทน จากงานวิจัยของ Carl Benedikt Frey and Michael AOsborne จะมีกลุ่มอาชีพเกือบ 20สาขาอาชีพ อาทิ สาขาโลจิสติกส์ สาขาการผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ สาขาวิชาชีพก่อสร้าง สาขาวิชาชีพการบิน และบริการสุขภาพ แม้จะมีอาชีพที่จัดทำขึ้นมาใหม่สามารถรองรับกลุ่มอุตสาหกรรม S Curve และความเสี่ยงต่ำที่จะถูก Disrupt อยู่บ้างแต่ยังมีจำนวนไม่มาก อาทิ สาขาวิชาชีพรถไฟความเร็วสูงและระบบรางสาขา วิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิทัลคอนเทนต์
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลกลุ่มอาชีพที่อาจถูกเทคโนโลยีทดแทน ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดของแต่ละสาขาอาชีพได้ว่ามีการนำเทคโนโลยีมาใช้เทียบเท่ากับสหรัฐหรือไม่ และไม่ได้บ่งบอกว่าแต่ละกลุ่มสาขาอาชีพมีปริมาณการจ้างงานและระดับการใช้เทคโนโลยีอยู่ระดับใด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะส่งผลต่อโอกาสในการถูกเทคโนโลยีทดแทนได้เร็วหรือช้าแตกต่างกัน นอกจากนี้ ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของทุนและความรู้ของบุคลากรอีกด้วย
ระบบคุณวุฒิวิชาชีพจะเป็นที่รู้จักและมีประโยชน์มากยิ่งขึ้นในอนาคต สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพต้องตื่นตัว การจัดทำมาตรฐานอาชีพนั้นจะต้องเน้นจัดทำมาตรฐานอาชีพที่ถูกทดแทนได้น้อยและยังมีปริมาณการจ้างงานในจำนวนที่มากอยู่ จะทำให้การจัดทำมาตรฐานอาชีพไม่เปล่าประโยชน์ เพราะแท้จริงแล้วระบบคุณวุฒิวิชาชีพและมาตรฐานอาชีพมีประโยชน์อย่างมากในพัฒนาสมรรถนะของกำลังคน ตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศและช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
ดังนั้นการจัดทำมาตรฐานอาชีพควรปรับให้ทันต่อปัจจุบัน มีมาตรฐานอาชีพ และคุณวุฒิวิชาชีพรองรับอาชีพใหม่ๆ และควรทบทวน ยกเลิกอาชีพที่จัดทำแล้วมีโอกาสถูก Disrupt ในอีก 5 - 10 ปีข้างหน้า และเติมเต็มด้วยการฝึกอบรมเพื่อเป็นแรงจูงใจให้แรงงานเข้ามาทดสอบและรับรองสมรรถนะ ก็จะช่วยให้มาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพเป็นที่รู้จักและเป็นที่ต้องการ ไม่ถูก Disrupt เสียเอง
โดย...
ราตรี ประสมทรัพย์