ทำไมเลือกตั้งครั้งนี้ 'ไบเดน' ทำได้ดีกว่า 'ทรัมป์'?
การเลือกตั้ง ปธน.สหรัฐ 2020 มีการโหวตผ่านทางไปรษณีย์ถึงกว่า 60 ล้านคน คำถามคือ ทำไม ทรัมป์ ถึงเสียเปรียบอย่างมากหากต้องโหวตกันทางไปรษณีย์
ณ นาทีนี้ ผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ และ โจ ไบเดน ยังคงสูสีกันแบบหายใจรดต้นคอ โดยที่มีความเป็นไปได้สูงมากที่ในครั้งนี้ จะมาตัดสินกันที่รัฐ ซึ่งไม่เคยมีใครคาดมาก่อนว่าจะเป็นสมรภูมิที่ใช้ตัดสินผลการเลือกตั้ง นั่นคือ รัฐเนวาดา ซึ่งมีเสียงอยู่เพียง 6 โหวต ที่อาจจะเป็นรัฐที่ตัดสินผลการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐในปี 2020
หากพิจารณารูปแบบของคะแนนในรัฐต่างๆในครั้งนี้ จะพบว่าค่อนข้างคล้ายคลึงกับเมื่อปี 2016 ทว่าคราวนี้ทางเดโมแครตโดยไบเดน มีคะแนนที่สูงขึ้น จนจะแซงทรัมป์หรือเปล่า คงต้องรอดูกันต่อ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
หนึ่ง การโหวตของชาวสหรัฐในครั้งนี้ มีการโหวตกันผ่านทางไปรษณีย์ถึงกว่า 60 ล้านคน คำถามคือ ทำไมทรัมป์ถึงเสียเปรียบไบเดนอย่างมากหากต้องโหวตกันทางไปรษณีย์?
คำตอบคือน่าจะเนื่องมาจาก 3 เหตุผล ดังนี้
1.ฐานเสียงทรัมป์มีรายได้ต่ำกว่าของไบเดน ซึ่งหลายรัฐบังคับให้ผู้ลงคะแนนเสียงต้องจ่ายค่าแสตมป์และซองเอง ตรงนี้เองน่าจะส่งผลให้สัดส่วนของฐานเสียงของทรัมป์ที่จะไปลงคะแนนเสียงลดลงมากกว่าของไบเดน
2.ผู้หญิงซึ่งตามโพลล์เลือกทรัมป์น้อยมาก โดยน้อยกว่าไบเดนหลายเท่า มีโอกาสจะใช้จดหมายในการลงคะแนนเสียงมากกว่าผู้ชาย เพราะโดยธรรมชาติ ผู้ชายมักจะไม่ชอบทำอะไรที่ขั้นตอนเยอะ ซึ่งตรงนี้ผู้หญิงน่าจะลงคะแนนเสียงกระหึ่มแน่หากใช้ไปรษณีย์ในการเลือกตั้ง
ท้ายสุดว่ากันว่าทรัมป์สามารถบังคับหรือใช้อำนาจจากภายนอกบังคับให้บริษัท Big Tech โดยเฉพาะ Social Media ทำในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้บรรดา Social Media น่าจะมีแนวโน้มเขียน Algorithm เชียร์ไปทางทรัมป์ เนื่องจากถ้าไบเดนขึ้นมาเป็นผู้นำมีโอกาสที่บรรดา Big Tech เหล่านี้จะโดนภาษีหนักขึ้น อีกทั้งกฎหมาย Antitrust น่าจะส่งผลกระทบอย่างหนักเพื่อให้บริษัทเหล่านี้ลดขนาดลง
อย่างไรก็ดี ความได้เปรียบนี้ของทรัมป์จะหมดไปหากมีการทำการโหวตทางไปรษณีย์ นั่นหมายความว่าประชาชนในส่วน Offline จะออกมาโหวตทางไปรษณีย์มากขึ้น ซึ่งประชาชนเหล่านี้มักจะ Online ค่อนข้างน้อย ส่งผลต่อคะแนนเสียงของทรัมป์ที่จะลดลง
มีสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องย้อนแย้งคือ ทรัมป์บอกว่าไม่ต้องการโหวตผ่านเมลทั้งหมด แต่ถ้าเป็นแบบ Absentee Voting หรือโหวตแบบที่ประชาชนมีธุระมาที่คูหาไม่ได้ เขาก็จะเห็นด้วย ซึ่งแสดงว่าทรัมป์ไม่ได้มีความชัดเจนในเรื่องนี้เสียทีเดียว
สอง กระแสการเรียกร้องความเป็นธรรมจากชาวผิวสี ที่เรียกกันว่า Black Live Matters ส่งผลต่อฐานเสียงของทรัมป์ให้ลดลง จะเห็นได้ว่าจากเหตุการณ์ของจอร์จ ฟลอยด์ ที่เสียชีวิตที่มินเนโซต้า เมื่อกลางปีนี้ ได้ส่งผลให้คะแนนเสียงของทรัมป์ที่รัฐนี้ลดฮวบลง จนพ่ายแพ้ให้กับไบเดน หรือ จะเป็นกรณีของรัฐเพนซิลวาเนีย ที่แม้ทรัมป์จะดูเป็นต่ออยู่ ทว่าคะแนนเสียงทางไปรษณีย์ที่ยังไม่ได้นับ ส่วนหลักที่มาจากชานเมืองของเมืองฟิลาเดลเฟีย ก็ออกมาทางไบเดน ซึ่งทำให้ที่รัฐนี้ ก็ยังไม่แน่ว่าทรัมป์จะคว้าชัยแบบแน่นอน
สาม เหตุการณ์โควิดที่รุนแรงของสหรัฐ แม้ว่าในภาพรวม จากการสำรวจของหลายสำนัก จะพบว่าชาวสหรัฐ จะให้ความสำคัญต่อหัวข้อทางเศรษฐกิจซึ่งทรัมป์ได้เปรียบไบเดนอยู่ มากกว่าโควิดอยู่เล็กน้อย ทว่าต้องยอมรับว่ามีอยู่บางรัฐที่โควิดส่งผลต่อคะแนนของทรัมป์อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน อย่างที่รัฐวิสคอนซิน ต้องยอมรับว่า ที่รัฐนี้ เดิมทรัมป์น่าจะได้เปรียบไบเดนอยู่เล็กน้อย ทว่าจากโควิดที่มีอัตราการติดเชื้อโควิดอย่างรุนแรงในช่วงก่อนหน้า ได้ส่งผลให้ท้ายสุด คะแนนอย่างเป็นทางการในเบื้องต้นจากสื่อกระแสหลัก ปรากฎว่า ทางไบเดนชนะทรัมป์ไปประมาณ 2 หมื่นคะแนน
สี่ การช่วยหาเสียงผ่าน Social Media ของต่างชาติที่ชำนาญด้านการ Hack ระบบคอมพิวเตอร์ทำได้ยากขึ้น โดยเมื่อ 4 ปีก่อน ต้องยอมรับว่าทรัมป์ได้คะแนนเพิ่มอยู่บ้าง จากการช่วยเหลือของผู้นำประเทศที่คุ้นเคยกับทรัมป์ ผ่านการช่วยหาเสียงผ่าน Algorithm ใน Social Media จากต่างชาติที่ชำนาญด้านไอที ทว่าในรอบนี้ ตรงนี้เป็นที่จับตาของหลายฝ่าย จึงน่าจะไม่สามารถทำได้เหมือนเมื่อ 4 ปีก่อน
ท้ายสุด การที่ฝั่งเดโมแครตไม่ประมาททรัมป์เหมือนการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน เป็นเหตุผลสำคัญที่นักการเมืองของพรรคเดโมแครต ต่างมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะหนุนให้ไบเดนเป็นตัวแทนของพรรคแบบที่ไม่มีใครแตกแถว และตรงนี้ จึงทำให้คะแนนเสียงในพื้นที่การหาเสียงของสส. และ สว. ของเดโมแครต หลั่งไหลมาเลือกไบเดนแบบเต็มที่ แม้ว่าการหาเสียงแบบลงพื้นที่จริงในวันท้ายๆก่อนเลือกตั้งนั้น ทรัมป์จะสามารถทำได้ดีกว่าไบเดนก็ตามทีครับ