เมื่อจีนยังไม่เปิดประเทศ...ลงทุนในหุ้นจีนอย่างไร
ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ มีประเด็นร้อนเป็นเรื่องเงินเฟ้อล่าสุดที่ออกมาสูงกว่าคาด ทำให้ตลาดจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED ว่าจะเร่งขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่คาดไว้ ในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายของปีนี้
อีกซีกโลกนึงก็มีหนึ่งเหตุการณ์สำคัญที่นักลงทุนต่างจับตาไม่แพ้กัน นั่นก็คือ การประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ได้เริ่มต้นขึ้นในวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 22 ตุลาคม โดยการประชุมดังกล่าวเกิดขึ้นทุกๆ 5 ปี มีสมาชิกพรรคราว 2,300 คนเข้าร่วม ซึ่งวาระหลักของการประชุม คือการเสนอชื่อและเลือกผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่ โดยคาดว่าปธน.สีจิ้นผิงจะได้รับฉันทามติให้ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 3 เป็นคนแรกของประวัติศาสตร์จีน
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดการเงินจีน ก็คือ ทิศทางของมาตรการคุมเข้มโควิด-19 หรือ Dynamic Zero-COVID ที่ก่อนหน้านี้เคยมีความหวังว่ารัฐบาลจีนจะผ่อนคลายมาตรการและเปิดประเทศมากขึ้น แต่แล้วก็ทำให้นักลงทุนบางส่วนผิดหวัง เพราะ ปธน.สีจิ้นผิง ระบุชัดเจนว่า Dynamic Zero-COVID เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาชีวิตประชาชนและปกป้องเศรษฐกิจจีน พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าการเปิดประเทศ หรือการผ่อนคลายนโยบายคุมเข้มโควิดจะยังไม่เกิดขึ้นในการประชุมพรรคครั้งนี้
สำหรับถ้อยแถลงในประเด็นอื่นๆ ยังคงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมมากนัก โดยจีนยังคงเป้าหมายหลักเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ เน้นย้ำนโยบาย Common prosperity เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางด้านรายได้ และสังคม ส่วนนโยบายด้านเทคโนโลยีนั้น จีนยังคงยืนยันว่าจำเป็นต้องหันมาพึ่งพาตนเองมากขึ้น และลดการพึ่งพาต่างชาติให้ได้ทั้งระบบนิเวศ และห่วงโซ่อุปทาน
หลังสหรัฐฯ ออกมาตรการคุมเข้มการส่งออกเทคโนโลยีมายังจีน นอกจากนั้นยังคงตอกย้ำถึงเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนฯ โดยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนฯ หรือปล่อยคาร์บอนฯ สุทธิเป็นศูนย์ แต่สืบเนื่องจากปัญหาขาดแคลนพลังงานที่เกิดขึ้น ในระยะสั้นนี้จีนอาจจะต้องให้ความสำคัญต่อความมั่นคงด้านพลังงานก่อน
ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าจีนจะยังคงมาตรการคุมเข้มโควิดไปอีกอย่างน้อย 3-6 เดือน การเปิดประเทศจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป และจะสามารถเปิดได้เต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 2023 โดยกุญแจสำคัญ คือ การเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มผู้สูงอายุ ที่ตอนนี้ยังไม่ให้ความร่วมมือมากนัก หากพิจารณา ณ อัตราการฉีดวัคซีนในปัจจุบัน จะต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีหลัง 2023 จึงจะฉีดวัคซีนให้ได้ 95% ของผู้สูงอายุในจีน
ด้วยมาตรการควบคุมโควิดที่ยังมีอยู่ เศรษฐกิจจีนจึงได้รับผลกระทบเชิงลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยจังหวัดที่มีความเสี่ยงการติดเชื้อในระดับปานกลางและสูงคิดเป็นสัดส่วนกว่า 40% ของขนาดเศรษฐกิจจีน จึงกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคในวงกว้าง และกดดันภาคบริการให้ซบเซาต่อเนื่อง ทำให้ทางกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจจีน เหลือเพียง +3.2% ในปีนี้ (อ้างอิงจากรายงานเดือนตุลาคม) จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโตได้สูงกว่า 4% ในช่วงต้นปี
แม้ว่าผลประชุมจะออกมาไม่เป็นบวกต่อตลาดหุ้นจีนมากนัก แต่ก็ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เพราะ ค่อนข้างสอดคล้องกับที่รัฐบาลได้ออกมาสื่อสารก่อนหน้านี้ เห็นได้จากตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลงเล็กน้อยเท่านั้น เรายังคงมีมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นจีนในระยะยาว เพราะมองว่าตลาดหุ้นจีนจะมีแรงหนุน
หากมีการประกาศนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว และมีความชัดเจนด้านผู้นำใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นจีนมีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ และยุโรปต่ำกว่าหุ้นโลก นอกจากนั้นยังมีวัฎจักรการขึ้นดอกเบี้ยที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆ เนื่องด้วยเงินเฟ้อจีนยังอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ธนาคารกลางจีนยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เพราะคาดว่าการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายสำคัญๆ โดยเฉพาะมาตรการควบคุมโควิด และแนวทางการเปิดประเทศ จะเกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงผู้นำระดับสูงหลายตำแหน่ง และจัดตั้งทีมบริหารใหม่แล้วเสร็จ จึงแนะนำจับตาการประชุมพรรคในวันที่ 23 ตุลาคม เพื่อสรุปรายชื่อสมาชิกระดับสูงอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินกลยุทธ์การลงทุนในระยะข้างหน้าต่อไป