‘แจกเงิน’กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากอย่างที่หวัง

‘แจกเงิน’กระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากอย่างที่หวัง

ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว รัฐบาลมักจะนำนโยบายการแจกเงินมาใช้เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว แต่ก็ยังมีคำถามว่าจะมีประสิทธิภาพกระตุ้นเศรษฐกิจมากน้อยแค่ไหน และมีเหตุผลอย่างน้อย 6 ข้อที่ทำให้เชื่อได้ว่า การแจกเงินอาจไม่ได้ผลดีอย่างที่หวังไว้

ประการแรก การแจกเงินเป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน แต่ไม่ได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างในระยะยาว เงินที่แจกไปอาจถูกใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือไม่สร้างงานและรายได้

นอกจากนี้ ผู้ที่ได้รับเงินอาจเลือกที่จะเก็บออมเงินส่วนใหญ่ไว้ เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจ จึงไม่ได้นำเงินออกมาใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบ

ประการที่สอง การแจกเงินโดยไม่มีเงื่อนไข ไม่ได้ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์หรือประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ แต่อาจทำให้ประชาชนหันไปพึ่งพารัฐ แทนที่จะหาวิธีสร้างรายได้ด้วยตนเอง หรือปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

ตัวอย่างเช่น ผู้ประกอบการบางรายอาจไม่เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพหรือพัฒนานวัตกรรม เพราะรู้ว่าสามารถพึ่งพาเงินช่วยเหลือจากรัฐได้ ซึ่งในระยะยาวจะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศลดลง

ประการที่สาม การแจกเงินอาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อ หากมีการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากเกินไป โดยที่การผลิตสินค้าและบริการยังไม่เพิ่มขึ้นตาม หรือผู้ประกอบการฉวยโอกาสขึ้นราคา ก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ ที่จะไปลดทอนอำนาจซื้อของประชาชน เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วในประเทศไทย

ประการที่สี่ การแจกเงินมีความเสี่ยงที่จะสร้างความเหลื่อมล้ำในสังคมมากขึ้น หากการแจกเงินไม่ครอบคลุมหรือไม่เป็นธรรม คนจนหรือผู้ด้อยโอกาสอาจเข้าไม่ถึงการช่วยเหลือ ในขณะที่คนฐานะดีอาจได้ประโยชน์มากกว่า ทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนเพิ่มขึ้น

ตัวอย่างเช่น หากรัฐใช้วิธีโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร ผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคารหรือไม่คุ้นเคยกับการทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งมักเป็นคนจนและผู้สูงอายุ ก็อาจไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือนี้ได้ ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคม

ประการที่ห้า การแจกเงินไม่ได้ช่วยส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพและทักษะของประชาชนในระยะยาว สิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดเพื่อหลุดพ้นจากความยากจน คือการมีงานทำที่มั่นคงและมีรายได้ที่ดี ดังนั้น รัฐควรเน้นการพัฒนาทักษะและการฝึกอบรมอาชีพ เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ มากกว่าการแจกเงินอย่างเดียว

เช่น รัฐอาจจัดหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพใหม่ๆ ที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน หรือร่วมมือกับภาคเอกชนในการจัดการศึกษาสายอาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีทักษะที่จำเป็น สามารถหางานทำได้ง่ายขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจมากกว่าการแจกเงินเพียงอย่างเดียว

ประการสุดท้าย การแจกเงินสร้างภาระงบประมาณอย่างมาก หากใช้เงินกู้มาแจก ก็จะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลัง และอาจกลายเป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต

ยกตัวอย่างเช่น ประเทศอาร์เจนตินาประสบปัญหาหนี้สาธารณะสูงลิ่ว ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่รัฐบาลใช้นโยบายแจกเงิน และสวัสดิการประชานิยม จนทำให้งบประมาณขาดดุล และต้องกู้เงินมาชดเชยปัญหาการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง สะสมจนกลายเป็นวิกฤติหนี้ในที่สุด

ผลการศึกษาในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ สะท้อนว่าการแจกเงินมักได้ผลดีเพียงระยะสั้น เพราะประชาชนมักรีบนำเงินไปใช้จ่ายทันที แต่เมื่อเงินหมด การใช้จ่ายก็ลดลงตามไปด้วย ไม่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

เช่น สหรัฐแจกเช็คกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2551 และ 2563 แต่หลายการศึกษาพบว่า คนส่วนใหญ่ใช้เงินนี้เพื่อชำระหนี้ หรือเก็บออม ไม่ได้ใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก

ส่วนในญี่ปุ่น แม้จะมีการแจกเงินสดให้ประชาชนคนละ 100,000 เยนในปี 2542 แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ยังคงชะลอตัวอยู่ดี

ในทำนองเดียวกัน เกาหลีใต้ก็เคยแจกเงินสดกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติการเงินเอเชียปี 2540 แต่ก็ไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง ผู้คนมักระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะมีการแจกเงินหรือไม่

ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างมีคุณภาพ ควรเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพการศึกษา พัฒนาทักษะแรงงาน

เพื่อยกระดับผลิตภาพและเตรียมความพร้อมให้กำลังแรงงานในยุคดิจิทัล และการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน 

รวมถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการหน้าใหม่ในภาคเศรษฐกิจที่จะกลายเป็นอนาคตของประเทศ เพราะสิ่งเหล่านี้แม้จะใช้งบประมาณจำนวนมาก ต้องใช้เวลานานกว่าการแจกเงิน แต่ผลที่ได้คือการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง เข้มแข็ง และยั่งยืน