ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภัยแล้ง กรณีศึกษาต่างประเทศ
ในวันสิ่งแวดล้อม 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผลกระทบจากภัยแล้งเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับการพูดถึง เนื่องจากส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและการดำรงชีวิตของประชากร
เมื่อฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน ทำให้ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติและในดินลดลง ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำสำหรับการเพาะปลูก อุปโภคบริโภคและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ
ภัยแล้งไม่เพียงส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการเกษตร แต่ยังลุกลามไปสู่อุตสาหกรรมอื่น การจ้างงาน และรายได้ของประชากร ตลอดจนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ เพื่อให้เห็นถึงผลกระทบของภัยแล้ว
บทความนี้จะอธิบายถึง 10 ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภัยแล้งและตัวอย่างของผลกระทบในต่างประเทศ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ผลกระทบต่อภาคการเกษตร อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ไปจนถึงผลกระทบต่อครัวเรือนและเศรษฐกิจในวงกว้าง
1.ผลผลิตและคุณภาพของพืชผลทางการเกษตรลดลงเนื่องจากขาดน้ำ ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นในตลาด ในขณะที่เกษตรกรมีรายได้ลดลง ยกตัวอย่างเช่น ช่วงภัยแล้งปี 2557-2558 ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ ผลผลิตอัลมอนด์ลดลงกว่า 4% ส่วนราคาสูงขึ้นถึง 40% ขณะที่รายได้ของเกษตรกรผู้ปลูกอัลมอนด์ลดลงประมาณ 10%
2.รายได้ที่ลดลงของเกษตรกรส่งผลให้การใช้จ่ายและการหมุนเวียนของเงินในเศรษฐกิจท้องถิ่นลดลง กระทบต่อการค้าขาย ธุรกิจ การจ้างงานและรายได้ของคนในชุมชน
จากการศึกษาผลกระทบในออสเตรเลียพบว่า ช่วงภัยแล้งปี 2545-2543 การใช้จ่ายของครัวเรือนเกษตรกรลดลงเฉลี่ย 25% ส่งผลให้ธุรกิจในท้องถิ่นมียอดขายลดลง 15% และมีการเลิกจ้างพนักงานราว 5% ของการจ้างงานทั้งหมดในพื้นที่
3.ปศุสัตว์ขาดแคลนอาหารและน้ำ ทำให้สุขภาพอ่อนแอ การเจริญเติบโตช้า ผลผลิตน้อยลง บางส่วนเจ็บป่วยและตาย ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนและราคาผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์สูงขึ้น ช่วงภัยแล้งปี 2554 ในประเทศซิมบับเว วัวกว่า 9,000 ตัวตายจากความอดอยาก ขณะที่น้ำหนักวัวที่มีชีวิตรอดลดลงกว่า 20% ราคาเนื้อวัวในท้องตลาดจึงพุ่งสูงขึ้นถึง 30%
4.อุตสาหกรรมที่พึ่งพาน้ำและผลผลิตการเกษตร เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สิ่งทอ ต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนและราคาวัตถุดิบสูงขึ้น กำลังการผลิตลดลง ต้นทุนสูงขึ้น ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นตาม สหรัฐยอดผลิตเบียร์ลดลง 6% ในปี 2557 เนื่องจากขาดแคลนข้าวบาร์เลย์จากภัยแล้ง ทำให้ราคาเบียร์เพิ่มขึ้น 0.5-1% ขณะที่ผลกำไรของผู้ผลิตลดลง 5-10%
5.แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติได้รับความเสียหายจากภัยแล้ง กระทบต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวในพื้นที่ลดลง ส่งผลต่อเนื่องไปยังธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ฯลฯ
จากข้อมูลพบว่า การเกิดภัยแล้งปี 2558-2560 ในแอฟริกาใต้ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ลดลง 12% คิดเป็นรายได้ที่หายไปกว่า 50 ล้านแรนด์ (ประมาณ 120 ล้านบาท)
6.ค่าใช้จ่ายในการจัดหาน้ำทั้งเพื่อการอุปโภค บริโภค และการผลิตเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากต้องสูบน้ำจากแหล่งไกลออกไป หรือขุดเจาะบ่อบาดาลเพิ่ม ในรัฐแคลิฟอร์เนีย การสูบน้ำบาดาลในภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 62% ในปี 2557 ทำให้ค่าไฟฟ้าและต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขณะที่ภาครัฐมีค่าใช้จ่ายถึง 687 ล้านดอลลาร์เพื่อการจัดหาน้ำเพื่อบรรเทาภัยแล้ง
7.ต้นทุนการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบ แรงงาน พลังงานและการจัดการน้ำ ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น เงินเฟ้อเร่งตัว ยกตัวอย่างเช่น ในออสเตรเลียราคาอาหารเพิ่มขึ้น 2-5% ช่วงภัยแล้ง ปี 2561-2562 ซึ่งสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปราว 1.5 เท่า ส่วนราคาผักและผลไม้บางชนิดพุ่งสูงขึ้นถึง 20-50%
8.โครงสร้างพื้นฐานได้รับความเสียหายจากการขาดน้ำ เช่น การทรุดตัวของดินทำให้ถนน สะพาน หรือรางรถไฟชำรุด เกิดการชะลอตัวในการขนส่งและโลจิสติกส์ ส่งผลต่อต้นทุนและประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ ในปี 2561 รัฐบาลเยอรมนีประเมินความเสียหายของถนนและโครงสร้างพื้นฐานจากภัยแล้งสูงถึง 7.5 พันล้านยูโร (ประมาณ 278,000 ล้านบาท)
9.ความไม่แน่นอนของสถานการณ์น้ำ ทำให้การลงทุนในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมชะลอตัว ส่งผลต่อการสร้างงานและการเติบโตของเศรษฐกิจ ธนาคารโลกประเมินว่าภัยแล้งช่วงปี 2548-2559 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศในแอฟริกาตะวันออกชะลอตัวลง 1-3% โดยเฉพาะในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมที่พึ่งพาน้ำ
10.รายได้ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากภัยแล้ง เพิ่มภาระหนี้สินของครัวเรือนและภาคธุรกิจ ในช่วงภัยแล้งระหว่างปี 2557-2559 ในแคลิฟอร์เนีย เกษตรกรและผู้ประกอบการมีหนี้เพิ่มขึ้น 25% ขณะที่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนเกษตรกรต่อรายได้สูงถึง 6 เท่าของช่วงปกติ ส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้และกระทบต่อภาคการเงิน
จะเห็นได้ว่าภัยแล้งส่งผลกระทบลูกโซ่ในวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ
ตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นขนาดและความรุนแรงของผลกระทบที่เคยเกิดขึ้นในหลายประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการบริหารจัดการแบบองค์รวมและการวางแผนรับมือที่ดี เพื่อบรรเทาความเสียหายและสร้างภูมิคุ้มกันต่อภัยแล้งในระยะยาว