‘เศรษฐกิจไทย’ ไร้สัญญาณบวก
“วิกฤติเศรษฐกิจ” กำลังส่งผลกระทบในวงกว้าง ภาคธุรกิจอยู่ในภาวะอ่อนแอ ประชาชนหาเช้ากินค่ำเดือดร้อนจากเงินในกระเป๋าที่มีมูลค่าน้อยลง สวนทางข้าวของเครื่องใช้ สินค้าอุปโภคบริโภคที่ขยับราคาสูงขึ้น
ในภาพใหญ่ของเศรษฐกิจไทยเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อน “ชำรุด” หมด สุ่มเสี่ยงเหลือเกินที่จะเห็นภาวะเลิกจ้างครั้งใหญ่เร็วๆ นี้ แม้ที่ผ่านมาหลายธุรกิจ หลายโรงงาน หลายบริษัทเริ่มส่งสัญญาณให้เห็น ทั้งลดเงินเดือน เลิกจ้าง ปิดธุรกิจ
จากนี้เราจะเห็นอะไรแบบนี้มากขึ้น หากรัฐบาลยังคงสาละวนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ไม่มีมาตรการแก้ปัญหาอย่างจริงจังและตรงจุด จะหวังพึ่งมาตรการดิจิทัลวอลเล็ตอย่างเดียวไม่ได้..และมาตรการนี้เราก็ไม่เห็นจริงๆ ว่าในระยะยาวจะแก้วิกฤติเศรษฐกิจภาพใหญ่ได้อย่างไร
วันนี้หลายคนกังวลเรื่อง “หนี้” ที่กำลังไต่ระดับสูงขึ้น หากดูภาพรวม “หนี้เสีย” ของระบบธนาคารพาณิชย์ (แบงก์) และนอนแบงก์ก็สูงลิ่ว จน “10 ธนาคารพาณิชย์” ของไทยต้องมีการ “ตั้งสำรองสูง” ระดับ 1.19 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 12% หลังเห็นภาพความไม่แน่นอนจากผลกระทบเศรษฐกิจที่ยังเปราะบาง
โดยเฉพาะหนี้เสียในธุรกิจขนาดใหญ่ และธุรกิจขนาดกลาง และเอสเอ็มอี ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ข้อมูลเครดิตบูโร เผยภาพรวมหนี้ ณ พ.ค. 2567 ภายใต้สินเชื่อทั้งระบบที่ 13.6 ล้านล้านบาท พบว่าเป็นหนี้เสียแล้วถึง 1.14 ล้านล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายหลายเรื่องนับตั้งแต่โควิด-19 เราหวังว่าภาคท่องเที่ยวจะเป็นแรงส่งเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อย่างที่คาด การส่งออกชะลอตัวลงจากความต้องการที่ลดลงในตลาดโลก โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐ
ขณะที่ผู้ผลิตไทยก็ปรับตัวไม่ทันในหลายเรื่อง สูญเสียความสามารถแข่งขันไปอย่างน่าเสียดาย การบริโภคภายในประเทศไม่ดี การใช้จ่ายของผู้บริโภคอ่อนแอจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ค่าครองชีพที่เพิ่ม หันมามองการลงทุนภาคเอกชน ก็ชะลอตัวจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง
ยิ่งนโยบายการเงินของไทยยิ่งหนัก ไม่สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ยังฝืนและดึงดันที่จะไม่ลดดอกเบี้ย ยังไม่นับความเสี่ยงภายนอก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนของราคาพลังงาน และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกยังคงเป็นปัจจัยลบสำคัญ กัดกร่อนให้เศรษฐกิจไทยยิ่งเปราะบางและอ่อนแอ
ท่ามกลาง “สถานการณ์การเมืองในประเทศ” ที่เห็นแล้วได้แต่ “ส่ายหัว” ....ประเทศไทยยามนี้ “ไม่มีสัญญาณบวก” ใดๆ ให้พอใจชื้นได้เลย