พลาสติกกับเศรษฐกิจหมุนเวียน

พลาสติกกับเศรษฐกิจหมุนเวียน

ทุกวันนี้ ปริมาณทรัพยากรธรรมชาติของโลกได้ลดลงอย่างรวดเร็วจากการบริโภคที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้จะมีการแสวงหาแหล่งทรัพยากรทดแทนและการจัดการของเสียบางส่วนให้กลับมาใช้ได้ใหม่ ก็ยังไม่พอต่อความต้องการบริโภคของมนุษย์ และยังมีของเสียตกค้างจำนวนมากจนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมของโลกในระยะยาว

ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมจึงเป็นประเด็นที่สังคมโลกและไทยตื่นตัวเป็นอย่างมากในปัจจุบัน จนเกิดแนวความคิดเรื่อง “เศรษฐกิจหมุนเวียน” หรือ “Circular Economy” เพื่อแก้ไขปัญหาด้านการลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง (โดยไม่จำเป็น) และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว

แต่เดิมนั้น เศรษฐกิจส่วนใหญ่มักเป็น “เศรษฐกิจแบบเส้นตรง (Linear Economy) คือเป็นการนำทรัพยากรมาผลิตสินค้า และเมื่อเลิกใช้แล้ว ทรัพยากรเหล่านั้นก็จะถูกนำไปทิ้ง โดยไม่นำกลับมาใช้อีก จึงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของโลกโดยตรง 

ปัจจุบันได้มีการนำหลักการของ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) มาใช้ ซึ่งเป็นการหมุนเวียนทรัพยากรธรรมชาติใน “ห่วงโซ่คุณค่า” (Value Chain) เพื่อให้กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ได้อีก และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการของเสีย วัตถุดิบ และพลังงานให้กลับไปเป็นทรัพยากรที่หมุนเวียนอยู่ในระบบด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งทำให้ลดการเกิดของเสียและสร้างผลผลิตได้มากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานลดน้อยลง

สิ่งที่เป็นกำลังเป็นปัญหาในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ก็คือ “ซองบรรจุภัณฑ์พลาสติก” เพราะเป็นบรรจุภัณฑ์ที่เราต้องใช้เสมอ เช่น ซองบรรจุภัณฑ์สำหรับอาหารแช่เย็น ถุงบรรจุภัณฑ์สำหรับผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน ซองเจลล้างมือ ซองบรรจุภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว เป็นต้น ปัญหาก็คือ หลังการใช้แล้วจะกำจัดหรือทำลายได้อย่างไร

ซองบรรจุภัณฑ์พลาสติกเหล่านี้มักผลิตจาก “ฟิล์มพลาสติก” หลากหลายชนิดรวมกัน เพื่อให้มีคุณสมบัติที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการต่างๆ ของลูกค้าได้ เช่น ซองบรรจุภัณฑ์แบบ Refill ของ สบู่เหลว แชมพู ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาปรับผ้านุ่ม เป็นต้น

“ฟิล์มพลาสติก” ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยวัสดุสองชนิด ได้แก่ ฟิล์ม BOPA (Bioriented Polyamide) และ ฟิล์ม PE (Polyethylene)

ฟิล์ม BOPA หรือที่นิยมเรียกกันว่า ฟิล์มไนลอนมีคุณสมบัติ เด่นในด้าน ความใส ความเหนียว ทนความร้อน มีความยืดหยุ่นต่ำ สามารถนำไปสู่ขบวนการพิมพ์หลากสีได้ ในขณะที่ฟิล์ม PE เป็นฟิล์มที่สามารถป้องกันความชื้น มีความยืดหยุ่นสูง สามารถรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดีมาก และสามารถนำไปขึ้นรูปต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

เมื่อนำมาลามิเนตผสานกับฟิล์มไนลอนจะเป็นซองบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ได้ครบคุณสมบัติที่ลูกค้าต้องการทั้งหมด ทั้งความทนทาน แข็งแรง ยืดหยุ่น ป้องกันความชื้น และปรับให้เข้ากับรูปงานต่างๆ แต่ของที่มีคุณประโยชน์ มักจะมีโทษไม่มากก็น้อยด้วย เช่นเดียวกับ “ผลิตภัณฑ์พลาสติก” ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมว่า เป็นตัวสร้างปัญหาให้สิ่งแวดล้อม เพราะทำลายได้ยาก

โดยปกติแล้ว บรรจุภัณฑ์ที่ทำมาจากพลาสติกหลากหลายชนิด จะไม่เอื้อต่อ “การนำกลับมาใช้ใหม่” หรือ “Recycle” เนื่องจากความแตกต่างทางคุณสมบัติที่เข้ากันไม่ได้ ซึ่งการกำจัดหลังการใช้งาน จะทำได้ด้วยการฝังกลบ (Land Fill) หรือเผาเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น

ปัจจุบัน “ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) จึงเป็นแนวความคิดหลักในการบริหารจัดการภาคธุรกิจอุตสาหกรรมที่จะนำทรัพยากรที่ถูกนำไปใช้แล้ว ให้นำกลับมาใช้ได้อีกในอนาคต (Recycle)

ดังนั้น กลุ่มเจ้าของตราผลิตภัณฑ์ชั้นนำและกลุ่มผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ระดับสากล จึงได้ลงนามร่วมกันในสนธิสัญญา โดยมีเป้าหมายที่จะร่วมมือกันเพื่อการออกแบบบรรจุภัณฑ์ โดยคำนึงถึงความสามารถในการนำกลับมา Recycle ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดขยะที่เป็นภาระกับสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังด้วย

“นวัตกรรม” ในวันนี้ จึงเน้นที่การออกแบบซองบรรจุภัณฑ์ให้เป็นวัสดุพลาสติกชนิดเดียว (Mono Material) เช่น Film Polyethylene โดยประกอบด้วยชั้นฟิล์มหลักหลายชั้น ที่สำคัญก็คือ นวัตกรรมในซองบรรจุภัณฑ์ที่เป็นวัสดุประเภทเดียวกัน คือ PE (Mono Material) สามารถนำเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล เพื่อย่อยสลายได้ง่ายกว่า โดยไม่ต้องแยกประเภทพลาสติกที่แตกต่างกันให้ยุ่งยาก จึงกล่าวได้ว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของซองบรรจุภัณฑ์ที่เกิดมาเพื่อการใช้งานพลาสติกที่เป็นมิตรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน 

จึงตอบโจทย์ของธุรกิจอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ซองบรรจุภัณฑ์ตามแนวความคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน และสามารถตอบสนองกระแสของผู้บริโภคที่จะเลือกซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง ทั้งหมดทั้งปวงของบทความในวันนี้ ซึ่งค่อนข้างหนักไปทาง “วิชาการ” นั้น ก็เพื่อตอกย้ำให้เห็นว่า “เศรษฐกิจหมุนเวียนที่ว่ายากๆ นั้น คนไทยก็ทำได้”

กรณีที่เห็นได้ชัด ก็คือ บริษัท ยูนิคพลาสติก อินดัสตรี จำกัด (มหาชน) (UNIQUE Plastic Industry) ซึ่งเป็นกรณีตัวอย่างที่ยืนยันถึงขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ลงทุนไทย (ผู้ประกอบการไทย) ที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก เพราะเป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฟิล์มและบรรจุภัณฑ์พลาสติกมากกว่า 30 ปี 

โดยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและตลาดด้วยแนวความคิดใหม่ๆ เช่น การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ การมุ่งส่งเสริมด้านวิจัยและนวัตกรรม การออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยตนเอง และสร้างวิถีการทำงานของฝ่ายผลิตที่ตั้งมั่นปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ที่สามารถนำเสนอลูกค้าด้วยราคามาตรฐานที่ผ่านกระบวนการลดต้นทุนด้วยแนวความคิดของ “Value Engineering” และ นวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมๆ กับความมุ่งมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม ครับผม !