กินปลาที่บาร์เบโดส

กินปลาที่บาร์เบโดส

ตอนมาอเมริกาใหม่ๆ ได้รู้จักลุงแซมที่มาจากประเทศบาร์เบโดส ลุงอธิบายให้ฟังว่า ประเทศของเขาอยู่ในหมู่เกาะเลสเซอร์แอนทิลลีส

เป็นหมู่เกาะที่เป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะเวสต์อินดีส ประกอบด้วยเกาะต่างๆ เรียงรายเป็นวงโค้งจากดินแดนตั้งแต่ประเทศเปอร์โตรีโก้ไปทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ รวมถึงหมู่เกาะทางตอนเหนือของประเทศเวเนซุเอลา ตลอดจนถึงหมู่เกาะเวอร์จิน หมู่เกาะลีเวิร์ด หมู่เกาะวินเวิร์ด และหมู่เกาะเนเธอแลนด์แอนทิลลีส ส่วนใหญ่ของประเทศบาร์เบโดส ประเทศตรินิแดดและโตเบโก


ประเทศแถบนี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่คาดว่ามาจากภูเขาไฟ ประกอบด้วยหินปูนและหินปะการังจากท้องทะเล ประเทศแถบนี้อากาศเย็นสบาย แม้แต่สนามบินที่เมืองบริดจ์ทาวน์ ก็เป็นสนามบินแบบเปิด ไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศ สามารถเดินเข้าไปเช็คอินได้ทันที จากสนามบินไปที่พัก ก็สามารถนั่งรถเมล์ในราคา 1 เหรียญสหรัฐฯ คุณก็สามารถมาถึงโรงแรมได้อย่างสะดวกสบาย


ที่เมืองบริดจ์ทาวน์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของบาร์เบโดสในแต่ละย่านผู้คนส่วนใหญ่ไม่นิยมทำเกษตรกรรม แต่เน้นอาชีพประมงในการจับปลาจากท้องทะเล เพราะแค่เมืองเล็กๆ มีตลาดปลาถึง 2 แห่ง แห่งแรกชื่อว่า บริดจ์ทาวน์ ฟิชมาร์เก็ต (Bridge Town Fishmarket) ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง ย่านชุมชนสายรถเมล์


ตลาดปลาแห่งนี้ขายปลาซึ่งไม่ค่อยเห็นในเมืองไทยและในอเมริกา ชื่อปลานกกระจอก (flying fish) โดยมีในตลาดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก วิธีการแล่ก้างปลาก็สามารถทำได้รวดเร็ว เทคนิคการแกะปลาก็ต่างจากเมืองไทยและอเมริกา ชาวบ้านเมืองนี้นิยมนำปลาไปทอด เพื่อนำไปรับประทานเป็นแซนด์วิช หรือรับประทานกับข้าวคลุกถั่วที่เป็นเมนูอาหารประจำท้องถิ่น


มีปลาอีกชนิดหนึ่งชื่อว่า ปลาอีโต้มอญ (mahi-mahi fish) มีความยาวตั้งแต่ 40-100 เซนติเมตร ขนาดใหญ่สุดมีความยาวถึง 150 เซนติเมตร เป็นปลาที่อยู่รวมตัวกันเป็นฝูงขนาดไม่ใหญ่ อาศัยอยู่ในบริเวณน้ำลึกและมักขึ้นมาหากิน หาอาหารบริเวณผิวน้ำ มักพบบริเวณข้างเกาะแก่ง ตามต้นไม้ กิ่งไม้ หรือซากอวนที่ลอยมาตามน้ำ


พ่อค้าแม่ค้าขายปลาแถบนี้จะเข้าร่วมการประมูลปลา และหากใครประมูลได้ จะรีบนำปลานี้ไปลอกหนังปลาออกทันทีแล้วจึงนำไปจำหน่ายตามท้องที่ต่างๆ โดยมีลูกค้าเป็นจำนวนมากที่มารอเพื่อจะซื้อปลาสดๆ เอาไปทำเป็นอาหารเที่ยงและอาหารเย็น พร้อมส่งตามร้านอาหารและโรงแรม


มีปลาอีกชนิดหนึ่ง คือ ปลาสำลี (kingfish) ชาวบ้านแถวนี้นิยมนำมาทำเป็นสเต๊กปลา นำมาทอดหรือนำมาย่างก็อร่อยหอมหวนน่ารับประทานเช่นกัน และมีอีกตลาดปลาแห่งหนึ่งชื่อว่า ออสติน ฟิชมาร์เก็ต (Ostins Fishmarket) ซึ่งจะแตกต่างจากบริดทาวน์ ฟิชมาร์เก็ต เพราะตลาดนี้นิยมเปิดขายเป็นร้านอาหารและมีเมนูหลายรายการที่ให้รับประทาน เปิดบริการจนถึงเที่ยงคืน พร้อมมีหนังกลางแปลงเริ่มฉายให้ดูทุกๆ วัน ตั้งแต่วันจันทร์-วันอาทิตย์
ในช่วงกลางวัน บริเวณตลาดปลาแห่งนี้จะเห็นเต่าทะเลเป็นจำนวนมากว่ายน้ำวกวนมาแถบท่าเรือให้ผู้คนได้ชื่นชม แต่ไม่เห็นคนนิยมจับมาฆ่าหรือผัดแกงเป็นอาหารเหมือนบ้านเรา


ตื่นเช้ามาอีกวันหนึ่ง ได้ไปดูถ้ำที่ชื่อว่า ถ้ำแฮริสัน ซึ่งตั้งชื่อตามผู้ค้นพบคือ มิสเตอร์แฮริสัน เมื่อปี 1700 ถ้ำนี้เป็นหินปูนที่เกิดจากการทับถมของตะกอนคาร์บอเนตในท้องทะเล ทั้งจากสารอนินทรีย์ และซากสิ่งมีชีวิต เช่น ปะการัง และกระดองของสัตว์ทะเล ซึ่งทับถมกันภายใต้ความกดดันและตกผลึกใหม่เป็นแร่แคลไซต์จึงทำปฏิกิริยากับกรด เนื้อแน่นละเอียดทึบ มีสีออกขาว เทา ชมพู หรือสีดำ อาจมีซากดึกดำบรรพ์ในหินได้ เช่น ซากหอย ปะการัง


ภูเขาหินปูนมักมียอดหยักแหลมเป็นหน้าผา และเป็นหินที่ละลายน้ำได้ดี ถ้ำนี้ไม่ได้เกิดจากภูเขาไฟ แต่เกิดจากการทับถมของหินปูนและซากปะการังแล้วโดนน้ำกัดเซาะ จึงทำให้เกิดเป็นช่องหินงอก หินย้อย และมีน้ำตกไหลผ่าน เวลาเข้ามาในถ้ำแห่งนี้ต้องใช้เวลา 3-4 ชั่วโมงสำหรับการเดินทางเข้าไปดูและสำรวจ แต่สามารถนั่งรถที่ทางเจ้าหน้าที่จัดไว้ให้ภายใน 45 นาที ให้เราเลือกว่าจะดูและสังเกตการณ์แบบไหน เพราะในถ้ำแห่งนี้มีให้แวะหลายที่ตั้งแต่หาดมรกตจนถึงหาดสวรรค์ชั้น 7-8-9 มีให้เลือกชมทุกรูปแบบ ตั้งแต่น้ำนิ่งสวยเหมือนมรกต หินงอกหินย้อยหน้าตาเหมือนผู้คนที่แปลกประหลาด


ในช่วงบ่าย ได้แวะตามหาดต่างๆ ที่อยู่ตามชายทะเล ตั้งแต่หาดในเมืองที่อยู่ใกล้บริดจ์ทาวน์จนถึงหาดเงินหาดทอง เพราะทรายแต่ละหาดไม่เหมือนกัน


บางหาดที่อยู่ตรงอมารีลิส บีช เป็นหาดทรายที่ค่อนข้างมีแต่ทรายหยาบเม็ดใหญ่ เหยียบไปบางครั้งมีความรู้สึกเจ็บและคลื่นทะเลพัดแรง ส่วนที่หาดเงินหาดทอง ที่นี่ผู้คนนิยมเล่นไคท์เซิร์ฟ (kitesurf) เป็นกีฬาเอ็กซ์ตรีมแบบสามมิติซึ่งเพิ่มการสูบฉีดของสารอะดรีนาลีน โดยเป็นกีฬาที่รวมเอาทักษะทางด้านเซิร์ฟ สโนว์บอร์ด สเกตบอร์ด และเวคบอร์ด เข้าด้วยกันกับการเล่นว่าว


ว่าวดังกล่าวไม่ใช่ว่าวเด็กเล่น แต่เป็นตัวส่งกำลังที่จะช่วยให้นักไคท์บอร์ดสามารถเซิร์ฟผ่านผิวน้ำด้วยความเร็วสูงและลอยละลิ่วขึ้นไปถึงกว่า 10 เมตรกลางอากาศพร้อมทั้งการแสดงท่าทางประกอบกลางอากาศ


ในช่วงที่ไป เห็นประมาณ 100 กว่าลำ วิ่งลอยคดเคี้ยวอยู่ตามชายทะเลอย่างสนุกสนาน จะทดลองเล่นบ้างก็กลัวว่าน้ำทะเลจะซัดออกจากฝั่ง ไม่กลับมา เดี๋ยวจะกลับนิวยอร์คไม่ทัน


และมีหาดอีกหลายหาด เช่นหาดที่อยู่ตรงทิกี บาร์ เป็นหาดที่นักท่องเที่ยวจากอังกฤษชอบมานอนตากอากาศ เพราะเห็นรถทัวร์มาจอดในช่วงเช้าแทบทุกวัน


หาดถัดไป เป็นหาดที่อยู่ในบริเวณใกล้กับร้านอาหารทับป้า หาดนี้สามารถเดินบนทางเดิน (boardwalk) ไปถึงร้านทิกี บาร์และมีร้านอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนหาดที่อยู่ตรงร้านอาหารล็อบสเตอร์ อะไลฟ์ กับหาดตรงร้านฟิวชั่น เรสเทอรอง เป็นหาดที่คนในเมืองนิยมมาวิ่งออกกำลังกาย แอโรบิคแดนซ์ เตะฟุตบอล เล่นวอลเลย์บอลในช่วงเย็น มีเก้าอี้อยู่บนหาดทราย สามารถเห็นพระอาทิตย์ตกได้อย่างสวยงาม พร้อมมีเครื่องออกกำลังกายสารพัดชนิดที่ตั้งอยู่บนชายหาด ทุกคนสามารถมาออกกำลังกายได้ฟรี ไม่ต้องเสียเงิน


ไปประเทศบาร์เบโดสครั้งนี้ที่เมืองบริดจ์ทาวน์ ได้เห็นสนามบินที่เปิดโล่ง มีอากาศภายนอกพัดเข้ามาเย็นสบาย แม่บ้าน แม่ครัว แม่ค้า แม่ขายของประเทศนี้พูดจาไพเราะอ่อนน้อม ค่อนข้างให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา ดูเป็นกันเอง คนที่นี้เคารพกติกา


ที่น่าชื่นชมอีกอันหนึ่งคือ การใช้ทางม้าลาย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ในขณะที่ยังไม่ข้ามถนน รถทุกคันจะต้องจอดเพื่อให้ทุกคนข้ามถนนก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขับออกไป


น่านับถือคนประเทศนี้จริงๆ