คุณค่าของบัณฑิต .. ในหมู่อมิตร !!
เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีสุภาษิตว่า "เสยฺโย อมิตฺโต เมธาวี ยญฺเจ พาลานุกมฺปโก"
แปลว่า มีศัตรูเป็นบัณฑิต ดีกว่ามีมิตรเป็นคนพาล
ความหมายธรรมดังกล่าวน่านำมาพิจารณาอย่างยิ่ง ด้วยบทบาทของคุณชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ทำหน้าที่ได้อย่างงดงาม เหมาะควร เรียกว่า บัณฑิต จึงมาสะดุดกับคำว่า “มีศัตรูเป็นบัณฑิต..” ซึ่งนับเป็นโชคดีของพาลชนมาก ด้วยบัณฑิตจะไม่กระทำใดๆ ทั้งกาย วาจา ใจ ที่เป็นบาป การต่อสู้ของบัณฑิตจะดำเนินไปอย่างมีสติปัญญา อดทน อดกลั้น ประกอบความเพียรชอบ มั่นคงตรงธรรมอย่างน่าชื่นชม
การต่อสู้ของบัณฑิต แม้จะต้องดุด่าว่ากล่าว ก็จะรู้จักใช้คำพูดที่พอเหมาะ เกื้อประโยชน์ต่อผู้อื่นแม้ผู้นั้นจะเป็นศัตรู ที่สำคัญที่สุด บัณฑิตจักกล่าวคำจริงแท้ .. เป็นสัจธรรม พิสูจน์ได้
ในขณะที่ วิสัยของคนพาลที่มีจิตใจหมกหมักอยู่ในอำนาจกิเลส สุมไฟริษยาอาฆาต มากไปด้วยความตระหนี่ถี่เหนียว หลงใหลอยู่ในความอยากที่ก่อทะยานไปอย่างสุดโต่ง จึงพยายามกระทำการเพื่อตอบสนองอำนาจตัณหา ให้กล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด แม้จักเล็งเห็นผลถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้น.. ก็ย่อมทำได้ ด้วยจิตใจที่เต็มไปด้วยมิจฉาทิฏฐิ
มิจฉาทิฏฐิ จึงเป็นเครื่องหมายของคนพาล ในขณะที่ สัมมาทิฏฐิ เป็นเครื่องหมายของบัณฑิต คนพาลจึงไม่รู้จักคำว่า พอ และไร้ความยินดีในความดีที่ผู้อื่นกระทำ .. สังคมจึงวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น เพราะวิสัยพอไม่เป็น ยินดีไม่ได้ ในความดีของผู้อื่น
บัณฑิต แม้จะมีไม่มากนักในสังคม แต่หากรู้จักบริหารจัดการศักยภาพ ก็ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมได้ในทุกโอกาส และย่อมสามารถกำราบคนพาลที่แม้มีจำนวนมากได้เสมอ .. ด้วยพลังความดีที่มั่นคงในจิตใจของบัณฑิตและความเชื่อมั่นที่ว่า ธรรมย่อมชนะอธรรมในทุกกาลสมัย !!
สังคมไทย .. ดำเนินมาในลักษณะเชิงประจักษ์ในทุกสมัย คนดีในสังคมที่มีวิสัยบัณฑิตได้หาญกล้านำพาประเทศชาติผ่านพ้นวิกฤตการณ์มาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แม้ในบางภาวการณ์จะดูย่ำแย่เกินเยียวยา
คำว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” จึงมีความหมายสอดคล้องกับ คำว่า สังคมไทยไม่เคยขาดบัณฑิต ผู้กล้าหาญ แม้ในยุคสมัยปัจจุบัน...
แต่การรอคอยบัณฑิต ผู้หาญกล้าเข้ามาช่วยเหลืออย่างเดียว อย่างไม่ลุกขึ้นมาร่วมด้วยช่วยกันนั้น ไม่ใช่วิสัย คนไทยผู้รักสงบ ที่ยามต้องออกรบ ก็จักต้องซื่อตรงต่อหน้าที่ กล้าหาญต่อการกระทำอย่างถูกควรตรงธรรม... โดยยึดมั่นหลักธรรมวิชัย เหนือสังคามวิชัย
บรรพชนชาวไทยจึงสั่งสอนให้ลูกหลานเหลนโหลน รู้จักคำว่า รวมพลังสมานสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน.. เพื่อความมั่นคงปลอดภัยของสังคมประเทศชาติในทุกสมัย ด้วยพลังธรรมจากทุกจิตวิญญาณของชาวไทยรวมถวายเป็นพลังแผ่นดิน ดังร่องรอยประวัติศาสตร์ที่ถูกจดจารึกไว้ให้คนพาลได้ศึกษาว่า อย่าได้ย่ามใจกับแผ่นดินไทย
การออกมาร่วมงานจิตอาสาในโครงการพระราชดำริของรัชกาลปัจจุบันกันอย่างมากมาย โดยเฉพาะในส่วนกลางอย่างกรุงเทพมหานคร นั่นเป็นสัญญาณอันหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นภาพคนไทยผู้มีจิตใจ เสียสละ กล้าหาญ พร้อมใจที่จะอาสาออกปฏิบัติการในกิจอันควร เพื่อประโยชน์สุขบ้านเมือง ดุจกองกำลังเสือป่าในสมัยรัชกาลที่ ๖ อันน่าศึกษาเป็นอย่างยิ่งในร่องรอยประวัติศาสตร์ดังกล่าว ที่สาน ส่ง สืบ แผ่นดินไทยมาจนถึง ณ วันนี้ .. ในความกล้าหาญ มีจิตใจเสียสละ พร้อมอุทิศชีวิต เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินไทย
จึงควรรู้จักการให้กำลังใจกับคนดีหรือบัณฑิตที่หาญกล้าอาสาออกช่วยสร้างสรรค์งานส่วนรวม เพื่อสังคมประเทศชาติ เพื่อให้ดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ติดอยู่กับ กับดักของหมู่พาลชนที่มีมากในทุกสมัย
โดยเฉพาะคนดีหรือบัณฑิตที่เริ่มเข้าสู่วัยชรา อ่อนล้ากำลังลง ... ยิ่งควรช่วยกันดูแลให้กำลังใจและช่วยกันส่งแรงใจสนับสนุน ด้วยความพร้อมที่จะ take action ในทุกรูปแบบ เพื่อสืบเนื่องเจตนาดี .. ตรงธรรม ที่คนดีหรือบัณฑิตได้จุดประกายไว้ .. ไม่ให้ดับสิ้นไปอย่างไร้ค่า... !!
เจริญพร