ฤา.. เราควรจะบรรจุวิชา Facebook และ Google เข้าไปในโรงเรียน
ในปี 2560 ทิม คุก (Tim Cook)ซีอีโอของแอปเปิ้ล บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกได้ส่งข้อความถึงประธานาธิบดีทรัมป์ เกี่ยวกับการพัฒนาโรงเรียนรัฐ
ให้สามารถผลิตบุคคลากรให้ตรงกับความต้องการของประเทศชาติในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างสูง คุกได้กล่าวไว้ประโยคหนึ่งว่า “Coding should be a requirement in every public school”แปลตามความได้ว่า “การเรียนภาษาคอมพิวเตอร์ควรจะเป็นสิ่งที่ต้องมีในโรงเรียนรัฐทุกโรงเรียน”
ในประเทศไทยก็เช่นกัน เดือนส.ค.ที่ผ่านมา คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมช.ศึกษาธิการ ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “นักเรียนจะต้องได้เรียนโคดดิ้งเร็วที่สุด”คุณหญิงกัลยา เล่าว่า พร้อมที่จะเดินหน้าเรื่องนี้ทันทีมีทีมงานที่จะเริ่มสอนและอบรม “โคดดิ้ง” ให้กับครู โดยเฉพาะครูต่างจังหวัดที่เราจะเน้นคนที่ด้อยโอกาส โคดดิ้งคือให้มีทักษะตรรกะ เด็ก 2-3 ขวบก็สอนได้ไว้ เป็นภาษาของโลกยุคนี้ของเด็กสมัยใหม่ โคดดิ้งจึงจะเป็นพื้นฐานนำพาไปสู่โลกศตวรรษที่ 21 “ทันโลก ทันสมัย แข่งขันได้”
ผมเองก็เห็นด้วยกับแนวความคิดดังกล่าว แล้วผมยังคิดต่อไปอีกว่า ทางกระทรวงศึกษาธิการยังควรบรรจุวิชาทางด้านสื่อสังคมออนไลน์เข้าไปในโรงเรียนอีกด้วย โดยผมมีเหตุผลดังนี้ครับ
หนึ่ง จำนวนผู้ใช้งานในโลก และในประเทศไทย
ข้อมูลจากบทความเรื่อง Facebook historical facts ที่เขียนโดย Kit Smith พบว่า ปัจจุบันมีคนใช้งานเฟซบุ๊คทั่วโลกอยู่ 2,375 ล้านคน ทุกวันจะมีคนเพิ่มบัญชีเฟซบุ๊คประมาณ 500,000 คน นอกจากนั้นยังพบต่อไปอีกว่า 30% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งโลก ใช้เฟซบุ๊คมากกว่าหนึ่งครั้งต่อวัน 45% อ่านข่าวจากเฟซบุ๊ค และ 40% แชร์ข้อมูลทางด้านสุขภาพกับเฟซบุ๊ค
ขณะที่กูเกิ้ลก็มีอิทธิพลต่อคนจำนวนมากบนโลกใบนี้ไม่แพ้กัน บทความเรื่อง “27 Google Search Statistics You Should Know in 2019 ที่เขียนโดย Conor Bond ได้ให้ข้อมูลที่น่าอัศจรรย์ใจเป็นจำนวนมาก อาทิ ผู้คนจำนวน 3.5 ล้านคนทั่วโลกใช้แอปกูเกิ้ลเพื่อหาข้อมูลทุกวัน ปริมาณการค้นหาในกูเกิ้ลเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ทุกปี 90% ของการค้นหามาจากคอมพิวเตอร์ และข้อมูลทางการตลาดที่น่าสนใจยังมีอีก เช่น 35% ของค้นหาคือการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ 34% ใช้คำค้นหาว่า “near me” หรือ “ใกล้ฉัน” ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อนักการตลาดเป็นอย่างยิ่ง
ในประเทศไทยพบว่า จำนวนคนไทยที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป เล่นเฟซบุ๊คสูงถึง 45-50 ล้านคนซึ่งทำให้คนไทยเป็นจำนวนมากต้องเข้ามาใช้เฟซบุ๊คด้วยเหตุผลต่างๆ ตั้งแต่สื่อสารกับคนรู้จักจนถึงพึ่งพาเฟซบุ๊คในการทำมาหากิน ในขณะที่กูเกิ้ลเองก็มีสถิติที่น่าทึ่งไม่แพ้กัน ข้อมูลจากเว็บไซต์ www.alexa.com พบว่า ในปี 2562 มีคนไทยใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 57 ล้านคน ในจำนวนนี้ใช้แอปกูเกิ้ลในการค้นหาข้อมูลสูงถึง 99.33% หรืออาจพูดได้ว่า คนไทยเกือบทุกคนที่ใช้อินเทอร์เน็ต จะใช้กูเกิ้ลในการค้นหาข้อมูล
สอง คน Gen X, Gen Y, Gen Z มุ่งสู่ “การตลาดออนไลน์”
นายไตรลุจน์นวะมะรัตน นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่ และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย (Media Agency Association of Thailand : MAAT) ได้คาดการณ์ตัวเลข “การใช้งบโฆษณา” ในปี 2562 ประกอบด้วย ดิจทัลทีวี 69,200 ล้านบาท (+5%) สื่อกลางแจ้ง 7,150 ล้านบาท (5%) โรงภาพยนตร์ 7,100 ล้านบาท (0%) วิทยุ 4,600 ล้านบาท (0%) และสื่ออินเทอร์เน็ต 18,716 ล้านบาท (25%) ในเรื่องนี้ผมอาจมองต่างกัน การเติบโตของสื่ออินเทอร์เน็ตที่ 25% ผมคิดว่าน่าจะเป็นไปได้ แต่มูลค่าการโฆษณา ซึ่งไม่น่าจะเก็บตัวเลขอย่างละเอียดได้ ผมว่าตอนนี้สื่ออินเทอร์เน็ตน่าจะมีมูลค่ามากกว่า 1 แสนล้านบาทไปแล้ว
“การขายสินค้าออนไลน์” ดูเหมือนว่าจะกลายเป็น “สิ่งที่ต้องทำ” ในวงการธุรกิจของเกือบทุกประเทศไปแล้ว ผมเองก็เป็นที่ปรึกษาทางด้านการตลาดออนไลน์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เราใช้งบประมาณแต่ละปีสำหรับโครงการเดียวเกือบๆ 10 ล้านบาท เมื่อสามปีที่แล้ว บรรดาบิลบอร์ด ป้าย หนังสือพิมพ์ ยังมีสัดส่วนประมาณ 70% ของงบ และใช้งบออนไลน์ 30% แต่ในปี 2562ที่เพิ่งผ่านมาเราใช้งบประมาณกับสื่อออนไลน์สูงถึง 70% ทีเดียว และคาดว่าในปีนี้การใช้งบออนไลน์จึงยิ่งสูงขึ้นไปอีก
สาม บรรจุวิชา Facebook และ Google เข้าไปในโรงเรียนเลย
ในขณะที่นักศึกษาจบใหม่ต้องออกไปเผชิญกับการทำงานรูปแบบใหม่ ผมเองเป็นที่ปรึกษาหลายบริษัท และผมก็ได้มีโอกาสสัมภาษณ์น้องๆที่มาสมัครงาน ซึ่งพบว่า สิ่งที่หน่วยงานต้องการตอนนี้ เริ่มจากการนำข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ นั่นคือการพิมพ์คีย์บอร์ดให้มีความเร็วไม่ควรต่ำกว่า 40 คำต่อนาที จากนั้นสิ่งที่ต้องเป็นเพื่อที่จะแข่งขันกับคนอื่นได้ก็คือบรรดาโปรแกรมพื้นฐานไม่ว่าจะเป็น Word, Excel และ Powerpoint จากนั้นมาก็จะเป็นเรื่องใช้สื่อต่างๆ เช่น Facebook และ YouTube ซึ่งนั่นหมายความว่า น้องๆ จะต้องเขียนข้อความได้ดลใจ (Copywriting) ทำภาพได้สวยๆ (ใช้โปรแกรม Photoshop และ Illustrator เป็น) ตัดต่อวีดีโอเป็น (ซึ่งก็จะต้องใช้โปรแกรม Premier Pro หรือ Final Cut และ After Effect )
ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงคนเรียนสายการตลาด การจัดการ หรือการทำธุรกิจ ซึ่งคุณจะต้องลงโฆษณาในเฟซบุ๊คเป็น (ผมได้แจกหนังสืออีบุ๊ค “คัมภีร์เฟซบุ๊คสูตร 2+6+3” คลิกรับได้ที่https://www.csisociety.com/17154218/263 ) โฆษณาในกูเกิ้ลและยูทูบเป็น สิ่งเหล่านี้...ในสายตาของคนกำหนดหลักสูตรในโรงเรียนอาจเห็นว่าไม่สำคัญ แต่ผมคิดว่า ถ้าเด็กจบออกมาแล้ว...หางานทำไม่ได้ หรือหาได้แต่...ทำงานไม่ได้ ใครจะรับผิดชอบครับ?
หาอ่านบทความ และความรู้ด้านการลงทุนของผู้เขียนได้เพิ่มเติมได้ที่ www.doctorwe.com