ส.ส.พรรคเล็ก
เคยพูดเป็นนัยๆ หลายครั้ง เรื่องการย้ายพรรค ยุบพรรค ซบพรรค ย้ายรัง ย้ายบ้าน ของเหล่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.บ้านเรา ว่าอย่าไปคิดอะไรมาก
เพราะ ส.ส.บ้านเราเกือบทั้งหมดไม่มีจุดยืนทางการเมืองอะไร ไม่มีปรัชญาทางการเมือง เป็นเรื่องของการลงทุน เป็นอาชีพหนึ่งของนักเลือกตั้งที่พอได้ยินเสียงมโหรีเสียงปี่เสียงกลอง ก็ขยับแข้งขยับขา พอหมดวงมโหรีก็กลับมาเป็นราษฎร ทำมาหากินไม่ได้เหมารวมว่าเป็นเช่นนี้ทั้งหมด แต่เกือบทั้งหมด
ในชีวิตนี้ เดินเฉียดเส้นทางทางการเมือง 2 ครั้ง ครั้งแรก เมื่อเข้าไปช่วยงานรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร แล้วก็ถูกรัฐประหารซ้ำจนไม่มีงานทำ ต้องออกไปเป็นนักเรียนนอกต่างประเทศด้วยความจำเป็น ระเหเร่ร่อนนานถึง 14 ปีกว่าจะกลับมาครั้งที่ 2 เมื่อหลังกลับมาไม่นาน ได้ร่วมงานกับบริษัทใหญ่มากแห่งหนึ่งของประเทศ แล้วปรากฎว่านายใหญ่สนใจการเมือง ตั้งพรรคการเมือง เลยถูกบังคับปนขอร้องให้ไปช่วยงานพรรค ตั้งแต่เริ่มทำข้อบังคับพรรค การประชุมคณะทำงานของพรรค และสุดท้ายได้รับข้อเสนอให้เป็นรองผู้อำนวยการพรรค ซึ่งได้ปฏิเสธ เพราะบาดแผลจากที่ถูกรัฐประหารยังฝังใจ ไม่เอาด้วย
จึงค่อนข้างรู้เรื่องการจัดตั้งพรรค การบริหารพรรค กฎระเบียบพรรคการเมืองที่เป็นหลักทั่วไป ไม่ว่าเรื่องสมาชิกพรรค สาขาพรรค การเงินพรรค ทั้งแบบตรงไปตรงมาและแบบไม่ตรงไปตรงมาบ้านเรานั้น การจัดตั้งพรรคไม่ยาก แต่การบริหารพรรคให้อยู่รอดตลอดไปนั้นยากมาก เพราะใช้เงินเยอะ ใช้คนเยอะ ใช้กลยุทธ์เยอะแต่คนออกเงินสร้างพรรค ไม่เยอะ ผมเห็นการเจรจาต่อรองการเข้าพรรค การขายหรือเซ้งพรรค การกู้ยืมเงินระหว่างสมาชิกพรรคกับเจ้าของเงินหรือนายทุนพรรค การกำหนดจำนวนกระสุนสำหรับหาเสียง เป็นขั้นเป็นตอน ขั้นเริ่มต้นให้เท่าไร ขั้นต่อไปให้เท่าไร ขั้นสุดท้ายให้เท่าไร ทั้งกระสุนจริงกระสุนหลอก ทั้งลูกโดด และลูกซองทั้งหลายทั้งปวง การทำพรรคให้อยู่ยาวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
กลับมาที่พรรคเล็กพรรคน้อย ที่ได้ ส.ส.เกือบทั้งหมดจากบัญชีรายชื่อ พรรคละคนสองคน หรือพรรคต่ำสิบทั้งหลาย ถ้าไม่มีนายทุนสายป่านยาว รับรองว่าไม่รอดแน่เรื่องของการย้ายพรรค ยุบพรรค ซบพรรค ขายพรรค เซ้งพรรคจึงจะยังเกิดกับพรรคเล็กพรรคน้อยที่สายป่านไม่ยาวแค่เรื่องค่าใช้จ่ายตั้งพรรค รับสมาชิก ขยายสาขา ทำบัญชีการเงินส่งสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง หรือ กกต. งบประมาณหาเสียง เงินช่วยเหลือ และอะไรต่อมิอะไรที่ต้องทำตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ก็เหนื่อยแล้วจะเอาเงินมาจากไหน พนักงานทำงานในพรรคต้องใช้เงิน ต้องมีเงินเดือนค่าจ้าง แต่ พรรคที่ ส.ส.ต่ำสิบมักไม่ได้มีบทบาทอะไรมากนัก ไม่ค่อยมีปากมีเสียง ใครจะสนับสนุนพรรค ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้นายทุนที่ไหน
ในต่างประเทศ อย่างเช่นที่สหรัฐนั้น ผู้สมัครชิงประธานาธิบดีมีเยอะแยะมากมายหลายสิบตอนเริ่มต้น แต่พอมีการลงพื้นที่แสดงวิสัยทัศน์ขึ้นเวที ทางพรรคหรือคนสนับสนุนนักเลือกตั้งก็เริ่มมองว่าจะสนับสนุนต่อไปหรือไม่ส่วนใหญ่ใช้วิธีดูที่เงินสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปเป็นหลัก ไม่ใช่เงินก้อนโตจากนายทุน ใครที่ได้เงินสนับสนุนจากประชาชนทั่วไปมากก็แสดงว่ามีความเป็นไปได้ที่จะได้เสียงจากประชาชนในการเลือกตั้ง ส่วนคนที่ได้เงินน้อย ก็ค่อยๆ หายหน้าไปจากเวทีแต่ของเราไม่มีเรื่องนี้ ของเรามันตรงกันข้าม เราไม่มีระบบตรวจสอบ ประชาชนไม่ได้แสดงเจตนาสนับสนุนจากการให้เงินผู้สมัคร แต่ผู้สมัครนั่นเองต้องใช้เงินตัวเองในเมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งเริ่มต้นที่ใช้เงินตัวเองตั้งแต่ต้น ก็ต้องใช้เงินตัวเองต่อไป จนกว่าจะหมดตัวและถ้าไม่อยากหมดตัว ก็ต้องหาเงินเข้ากระเป๋าตุนไว้จึงหนีไม่พ้นเรื่องทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ถ้าถามว่า แล้วจะทำอย่างไร.. ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน....