บันได 6 ขั้นฐานวิถีชีวิตใหม่
คำว่าฐานวิถีชีวิตใหม่กลายเป็นคำที่มีการพูดถึงกันบ่อยมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดของโควิด-19
ได้บีบเราให้เรียนหลักสูตรเร่งรัดเพื่อเข้าสู่ยุค 4.0 สิ่งที่ต้องใช้เวลาอีกหลายปีถึงจะเกิดขึ้นถูกย่นเวลาลงมาเหลือแค่ 3-4 เดือน แต่นี่เป็นเพียงครึ่งทางของการก้าวสู่ยุคใหม่ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นรากฐานของชีวิตในแทบทุกมิติ ยังมีบันไดอีกหลายขั้นที่เราต้องเดินขึ้นไปให้ครบ ถึงจะเข้าสู่ยุค 4.0 อย่างเต็มตัว
หากจะหาหมุดหมายสำคัญของการที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ก็ควรเริ่มจากการนำแท่นพิมพ์มาใช้ทำหนังสือและเอกสารต่างๆ ก่อนมีแท่นพิมพ์ การทำหนังสือสักเล่มก็ได้แต่เขียนมันขึ้นมา ถ้าต้องการหลายเล่มก็ต้องเขียนซ้ำหลายรอบ ทำให้การเผยแพร่ความรู้ทำได้ยาก มีราคาแพง แท่นพิมพ์ได้ทำให้ปัญหานี้ลดลง
จากจุดเริ่มต้นของแท่นพิมพ์มาสู่การมีไมโครโปรเซสเซอร์ซึ่งช่วยเรื่องการประมวลผลใช้เวลาราว 600 ปี แต่จากการมีไมโครโปรเซสเซอร์มาถึงวันนี้ใช้เวลาเพียงประมาณ 30 ปีเท่านั้น นั่นหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา มีความรวดเร็วกว่าในอดีตนับเป็นสิบเท่า ช่วงเวลาจากนี้ไปเทคโนโลยีดิจิทัลจะทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นยิ่งเร็วกว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาหลายเท่านัก กระบวนการที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะเปลี่ยนโฉมหน้าวิถีชีวิตของเราแบ่งเป็น 6 ขั้นตอนด้วยกัน
ขั้นแรกคือ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในชีวิต ซึ่งถือเป็นก้าวแรกของการเปิดรับเอาพลังของดิจิทัลมาเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความสะดวก และเพิ่มความรวดเร็วในการใช้ชีวิตและทำธุรกิจ แต่จะเป็นการรับเอามาใช้เฉพาะส่วนที่สามารถนำมาใช้ได้ง่ายที่สุดและให้ผลดีอย่างเห็นได้ชัดเท่านั้น
ขั้นที่ 2 คือ การหลงอยู่กับภาพลวง แม้ว่าเทคโนโลยีนี้เป็นประโยชน์ แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราโดยตรง ทำให้รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้เวลาอีกสักพักใหญ่กว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในภาพรวม ภาพลวงนี้ทำให้เราใจเย็นเกินควร เลยไม่เตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง
ขั้นที่ 3 คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างเฉียบพลัน พอเราหลงอยู่กับภาพลวงว่ายังมีเวลา ไม่ต้องรีบปรับตัวก็ได้ แล้วจู่ๆ โลกรอบตัวก็พลิกโฉมไปพึ่งพาเทคโนโลยีดิจิทัลแบบที่เรายังไม่ทันตั้งตัว เราก็เลยตกเป็นเหยื่อ หรือที่เรียกกันว่าโดนดิสรัปนั่นเอง
ขั้นที่ 4 คือ เงินจะกลายเป็นเงินดิจิทัล เงินที่เป็นเหรียญหรือธนบัตรจะใช้ทีก็ต้องหยิบมาจ่าย คนขายที่รับเงินไปแล้วจะไปซื้อของต่อก็ต้องหยิบจับเงินไปจ่ายอีก รอบการหมุนของเงินจึงต่ำเพราะใช้เงินไม่สะดวก เมื่อมีระบบจ่ายเงินออนไลน์ การจ่ายเงินรับเงินทำได้รวดเร็ว จึงเอื้อให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รอบการหมุนของเงินสูงขึ้นกว่าเดิม การค้าขายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ขั้นที่ 5 คือ ใครอุ้ยอ้ายจะอยู่ยาก เมื่อการค้าขายเกิดขึ้นรวดเร็ว การแข่งขันของธุรกิจย่อมรุนแรงขึ้น ธุรกิจที่จะอยู่รอดได้ต้องเป็นธุรกิจที่มีความคล่องตัวสูง ถ้าเราขายเสื้อผ้าแล้วต้องรอให้ตลาดเปิดตอนเช้าถึงไปวางขายได้ พอหกโมงเย็นต้องเก็บของกลับบ้าน เกิดมีลูกค้าอยากซื้อตอนสองทุ่มก็ขายไม่ได้แล้ว วันไหนฝนตก รถติด ไฟดับ การค้าการขายก็ติดขัดไปหมด ธุรกิจที่อยู่ได้จึงต้องคล่องตัว สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกที่ทุกเวลา และต้องเป็นธุรกิจใช้คนน้อย ต้นทุนต่ำ บริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ได้
ขั้นที่ 6 คือ อิสระในการเลือก เมื่อเราเรียนรู้ถึงพลังที่แท้จริงของเทคโนโลยีดิจิทัลว่าเป็นเพื่อนคู่คิดช่วยให้มีอิสระในการเลือกใช้จ่ายและเลือกใช้ชีวิต เราก็จะโอบรับมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอย่างเต็มตัวในแทบทุกมิติของการใช้ชีวิต จนมันกลายเป็นรากฐานของการใช้ชีวิตในแต่ละวัน เมื่อวันนั้นมาถึงวิถีชีวิตเราก็จะตั้งอยู่บนฐานใหม่ที่เรียกว่าฐานชีวิตดิจิทัล
เชื่อเถอะว่าถึงแม้เราจะก้าวไปถึงขั้นที่ 6 ซึ่งเป็นยุคของฐานวิถีชีวิตใหม่เต็มตัว ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะหยุดอยู่แค่นั้น เฮราคลีตุส นักปรัชญาชาวกรีก เคยกล่าวไว้ว่า “การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย” ประวัติศาสตร์บอกเราว่าการเปลี่ยนแปลงรอบหน้าที่มีแน่นอน และจะเกิดขึ้นเร็วกว่านี้อีก การไปถึงขั้นที่ 6 จึงเป็นเพียงเตรียมตัวเพื่อนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง มันก็เท่านั้นเอง