ความจริงของตลาดหุ้นจีนกลางปี 2020
จะว่าไปตลาดหุ้นจีนที่ขึ้นมาเมื่อวันจันทร์และวานนี้รวมกว่า 7% ดูแล้วไม่ใช่เรื่องแปลก เนื่องจากจีนเป็นประเทศหลักเพียงหนึ่งเดียว
ที่ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ เพิ่มประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจากในช่วงเดือนเมษายน ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และเซิ่นเจิ้น ก็ถือว่ายังได้เปรียบตลาดอื่น โดยเฉพาะส่วนของตลาดหลังจากการที่มีสัดส่วนของหุ้นเทคโนโลยีอยู่สูงมากแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งได้รับอานิสงค์เชิงบวกในดัชนี จาก Social Distancing ของโควิดในดัชนี
ทว่าความแปลกของการขึ้นมาสำหรับตลาดหุ้นจีนในรอบนี้ มาจากการที่บทบรรณาธิการของนิตยสาร ด้านการลงทุนที่จัดทำโดยหน่วยงานภาครัฐของจีนออกมาเขียนเชียร์หุ้นจีนเสียเอง โดยแนะนำให้ชาวจีนลงทุนในตลาดหุ้น เนื่องจากคาดว่าจะมีคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ดี
ซึ่งผมมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นการถ่วงดุลของข่าวที่รัฐบาลจีนออกมาเคลื่อนไหวค่อนข้างเข้มข้น ทั้งทางด้านการเมืองและการทหารระหว่างประเทศ อาทิ ในส่วนของชายแดนอินเดีย/จีน และด้านทะเลจีนใต้ อีกทั้งเป็นการบลัฟกลับต่อโดนัลด์ ทรัมป์ แบบกลายๆ ว่า ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นสหรัฐขึ้นมาเยอะมากๆ ตั้งแต่เขาขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐ
อย่างไรก็ดี ต้องบอกว่าหากพิจารณาจากผลตอบแทน YTD ของตลาดหุ้นเซี่นเจิ้นและตลาดเซี่ยงไฮ้ ที่ร้อยละ 12 และ 9 ตามลำดับ ในขณะที่ส่วนของปัจจัยพื้นฐานที่อัตราการเติบโตของผลกำไรของบริษัทจดทะเบียน ในไตรมาสแรกปีนี้ของหุ้นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ -51% และคาดว่าจะโตร้อยละ 6 ในปีนี้ จะพบว่าน่าจะเป็นผลมาจากส่วนของ Liquidity และการคาดหวังของการกระตุ้นของทางการมากกว่า
เมื่อพิจารณาค่า P/E ในช่วงนี้เทียบกับช่วงปี 2015 จะพบว่าหากแยกเป็นตลาดต่างๆ ให้ชัดเจนจะพบว่า ตลาดหุ้นที่ถือว่ามีฟองสบู่อยู่มากสักหน่อย ได้แก่ ตลาดหุ้นเซิ่นเจิ้น ที่คล้ายๆ กับ Nasdaq ในอเมริกาที่เน้นหุ้น Hi-tech และหุ้นที่อยู่ในภายในเศรษฐกิจจีนจริงๆ โดยในปี 2015 มีค่า P/E กว่า 72 เท่าสำหรับรอบนี้มาอยู่ที่ 52 เท่าในตอนนี้ ส่วนหุ้นที่เริ่มขยับออกมาใกล้ชิดกับหุ้นในตลาดฮ่องกงอาจจะมีฟองสบู่อยู่บ้าง ได้แก่ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ซึ่งในปี 2015 มีค่า P/E ที่ 24 เท่าโดยหุ้นประเภท Big-Cap หรือขนาดใหญ่จริง มีค่า P/E เพียง 12-13 เท่านั้น สำหรับตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ในรอบนี้ มาอยู่ที่ 17.2 เท่า ณ ตอนนี้ถือว่าค่อนข้างสูง ทว่าก็ไม่ได้เกินเลยถึงจุดที่ถือว่าลงทุนไม่ได้เลย
ซึ่งบทเรียนของการขึ้นมาของตลาดหุ้นจีน ในรอบปี 2015 ที่ยังจดจำกันได้คือ การเก็งกำไรของรายย่อย โดยเฉพาะกลุ่มชาวบ้านที่เมื่อเห็นตลาดหุ้นจีนขึ้นมา ก็ต่างพากันลงทุนในหุ้นจีนกันแบบเมามัน และไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานจนตลาดหุ้นจีนขึ้นสูงมาก และลดลงแบบหนักมากในเวลาต่อมาของปี 2015
โดยความเสี่ยงที่ตลาดหุ้นจีนจะลงหนักๆในช่วงต่อไปหลังจากขึ้นมาพอสมควรในรอบนี้น่าจะมาจากสองปัจจัยหลักคือ
ปัจจัยแรก หากการประท้วงของชาวฮ่องกงกลับพลิกล็อคออกมาเยอะมากและรุนแรงกว่าคาด แม้จะมีกฎหมาย National Security Law ออกมาบังคับใช้แล้วก็ตาม ผสมโรงกับสหรัฐที่ออกมาตรการทางการเมืองและเศรษฐกิจออกมาตอบโต้ช่วยเสริมโมเมนตัมเข้าไปอีก
ปัจจััยที่สอง มาตรการช่วงนาทีสุดท้ายต่อจีนของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเป็นสไตล์ทุบหม้อข้าวเนื่องจากทรัมป์เองไม่มีอะไรจะเสียการทุ่มอัดจีนสุดตัวในช่วงสุดท้ายดูจะคุ้มค่าในการจัดเต็มและหากมีมาตรการที่แรงกกว่าคาดต่อจีนตรงนี้น่าจะส่งผลต่อตลาดหุ้นจีนในเชิงลบได้
อย่างไรก็ดี จากการที่หุ้นหลัก 10 ตัวแรกของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ของจีนในรอบนี้ มีผลตอบแทนที่ติดลบเฉลี่ยร้อยละ 12 ซึ่งถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับปี 2015 ที่ร้อยละ 20 ดังรูป หมายความว่า ราคาหุ้นจีนที่ขึ้นแรงๆ ในตอนนี้ไปอยู่ที่หุ้นเทคโนโลยีและการบริโภคภายในประเทศเสียส่วนใหญ่
คราวนี้หากมองในมุมของ sentiment ของตลาดจีนแยกเป็นประเด็นดังนี้
หนึ่งอะไรที่แย่หรือดีเกินจริงจากพื้นฐาน
1.ผมมองว่าอุปสงค์ของเศรษฐกิจจีนมีความเข้มแข็งกว่าที่คาดเมื่อนเดือนเมษายนที่ผ่านมาจริง
2.เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วชะลอตัวลงในไตรมาส 2 ของปีนี้อย่างค่อนข้างชัดเจนเมื่อเทียบกับจีน
3.ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐญี่ปุ่นและยุโรปที่ส่งออกเป็นหลักหรือ Export Play แย่กว่าที่คาดการณ์จากการค้าที่หดตัวรุนแรงกว่า Domestic Play
สองอะไรที่ดูดีหรือแย่จากอารมณ์หรือ Sentiment
1.ดัชนีของตลาดหุ้นสหรัฐณตอนนี้อยู่ในระดับสูงที่พอจะอ่อนไหวต่อแรงกระเพื่อมจากข่าวร้ายทั้งในและนอกประเทศ
2.เศรษฐกิจยุโรปโดยภาพรวมดีขึ้นเล็กน้อยกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า ทว่าความอ่อนแอของสภายุโรป ในการกระตุ้นด้านนโยบายการคลังกลบข่าวดีนี้ไปเกือบหมด
ท้ายสุดตรวจสอบแนวรบของทางการจีนว่าอาวุธยังครบมืออยู่หรือไม่?
เมื่อพิจารณาอาวุธหมวด ‘การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย’ จะเห็นว่าระดับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงหรือส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยกับอัตราเงินเฟ้อในตอนนี้ของเศรษฐกิจจีนมีอยู่ถึงร้อยละ 2-4 (แล้วแต่ว่าจะใช้ตัวแปรดัชนีราคาผู้บริโภค CPI หรือดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เป็นตัวแทนของอัตราเงินเฟ้อ) นับว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง หากพิจารณาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรปว่าเท่ากับติดลบ ส่วนไทย เกาหลีใต้ และไต้หวันเท่ากับศูนย์และติดลบ
ซึ่งตรงนี้ถือว่าจีนมีอาวุธหมวดดอกเบี้ยยังมีอยู่ครบมือ
นอกจากนี้ อัตราส่วนกันสำรองของแบงก์ที่เรียกกันว่า Required Reseve Ratio (RRR) ตอนนี้ของจีนก็ลดลงเหลือร้อยละ 11 และ 6 สำหรับแบงก์ขนาดใหญ่และขนาดเล็กตามลำดับ เพื่อที่ปริมาณเงินในระบบของเศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นในตอนนี้ กระนั้นก็ดี จีนก็ยังมี room เหลือพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ อีกไม่ว่าจะผ่านการเพิ่มเงินเข้าระบบโดยตรงหรือลดค่า RRR
คำถามคือ แล้วทำไมจีนถึงไม่จัดเต็ม กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการอัดเงินเข้าระบบให้ตลาดหุ้นเลิกแกว่งเสียที คำตอบน่าจะคือ จีนเข็ดจากการกระตุ้นเกินตัวในส่วนของการคลังจากวิกฤติโลกเมื่อ 10 ปีก่อนครับ